14-15 พฤศจิกายน 2567… งานวิจัยเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งจัดทำโดยอโกด้าร่วมกับบริษัท Access Partnership ได้ประเมินถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยจะได้รับจากการบังคับใช้กฎหมายสมรสเพศเดียวกันในวันที่ 22 มกราคม 2568 โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับรองกฎหมายนี้ และเป็นประเทศที่สามในเอเชีย รองจากไต้หวันในปี 2562 และเนปาลเมื่อปีที่แล้ว กฎหมายดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยดึงดูดนักท่องเที่ยวLGBTQIA+ ทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่ากว่า 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
การวิจัยครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Booking.com และดำเนินการโดยการสำรวจกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยว LGBTQ+ จำนวน 11,469 คนจาก 27 ประเทศ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Booking.com News
ระเบียบวิธีวิจัย
การศึกษานี้จัดทำขึ้นโดย Access Partnership เรื่อง ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย วิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจของกฎหมายสมรสเท่าเทียมต่อเศรษฐกิจไทย 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
1) การระบุความสัมพันธ์ระหว่างการท่องเที่ยวระหว่างประเทศกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม
2) การประเมินผลกระทบของกฎหมายสมรสเท่าเทียมต่อการท่องเที่ยวผ่านการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นแบบ Fixed-Effects
3) การประเมินการเปลี่ยนแปลงของจำนวนการท่องเที่ยวและรายรับจากนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ 2 ปี
4) การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวที่ส่งผลกระทบไปยังเศรษฐกิจไทยโดยรวม
SDGs 5 ในประเทศไทย
กฎหมายสมรสเท่าเทียม
ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นประเทศที่สามในเอเชียที่บังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในวันที่ 22 มกราคม 2568 ต่อจากไต้หวันและเนปาล ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยเฉพาะ เป้าหมายที่ 5 (SDGs 5) ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและการให้อำนาจแก่ผู้หญิงและกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ การยอมรับกฎหมายนี้จะช่วยลดการเลือกปฏิบัติและสนับสนุนสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง
จากข้อมูลวิจัยของ Agoda และ Access Partnership พบว่า การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว LGBTQIA+ จากทั่วโลกที่มีมูลค่าตลาดกว่า 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งประเทศไทยคาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านคนต่อปี พร้อมสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 2 ปีแรกหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้
หนุน SDGs 5 ผ่านการท่องเที่ยว
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการสร้างงาน
การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะไม่เพียงช่วยส่งเสริมสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศ แต่ยังมีผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของไทยอีกด้วย โดยงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า รายได้จากการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นในหลายภาคส่วน เช่น
-การจองที่พัก 0.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
-อาหารและเครื่องดื่ม 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
-การช็อปปิ้ง 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
-การเดินทางภายในประเทศ 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
-อุตสาหกรรมบันเทิงและบริการทางการแพทย์ 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะสร้างงานใหม่กว่า 152,000 ตำแหน่ง โดยครึ่งหนึ่งจะเป็นงานในภาคการท่องเที่ยวโดยตรง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และบริการนำเที่ยว ส่วนที่เหลือจะกระจายไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจไทย การเพิ่มจำนวนแรงงานและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจะส่งผลให้ GDP ของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.3%
ประเทศไทยปลายทางหลักนักท่องเที่ยว LGBTQIA+
ตอบ SDGs 5
การยอมรับกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับคู่รัก LGBTQIA+ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวสำหรับการจัดงานแต่งงานและการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ
การเปิดกว้างและยอมรับกลุ่ม LGBTQIA+ ของไทยจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในระดับสากล ทำให้เป็นประเทศที่เปิดรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มอย่างแท้จริง นอกจากการสร้างรายได้จากภาคการท่องเที่ยวแล้ว ยังช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับนักท่องเที่ยวและส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศอีกด้วย
ด้วยการสนับสนุนเป้าหมาย SDGs ที่เน้นความเท่าเทียมทางเพศ กฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยจะช่วยยกระดับมาตรฐานทางสังคมและเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับประเทศไทยในอนาคต
นอกจากนี้ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะเลือกเดินทางไปยังประเทศที่สนับสนุนสิทธิของชาว LGBTQIA+ โดย 43% ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะยกเลิกการเดินทางทันทีหากรู้สึกว่าประเทศปลายทางไม่ได้สนับสนุนสิทธิของชาว LGBTQIA+