22-24 พฤศจิกายน 2567…ที่การประชุม COP29 หรือการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน พบว่า ผู้ที่พยายามเร่งการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีเหตุผลใหม่ที่จะต้องกังวล นั่นคือ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น “เรื่องหลอกลวงครั้งใหญ่”
เมื่อพิจารณาจากท่าทีของเขา ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกลัวว่าทำเนียบขาวของทรัมป์จะถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยสภาพภูมิอากาศอีกครั้งตามที่เขาให้คำมั่นไว้ รัฐบาลชุดใหม่เตรียมที่จะลดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและอนุญาตให้ขุดเจาะน้ำมันและก๊าซได้มากขึ้น แม้ว่าทรัมป์จะแยกตัวออกจากโครงการ 2025 ซึ่งเป็นแผนงานของฝ่ายขวาในการปฏิรูปรัฐบาลระหว่างการหาเสียง แต่คาดว่ารัฐบาลของเขาจะยอมรับคำเรียกร้องของ “รัฐบาลทั้งชุด” ที่จะ “ยุติการคลั่งไคล้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของรัฐบาลไบเดน”
ไม่มีใครไร้เดียงสา การบรรลุเป้าหมายสำคัญที่ได้รับการยืนยันอีกครั้งเมื่อปีที่แล้วโดยผู้นำระดับโลกในการประชุมสุดยอด COP28 ซึ่งก็คือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 นั้นยากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากทรัมป์เตรียมที่จะกลับไปที่ทำเนียบขาวอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความหวังอยู่ว่าทุกอย่างยังไม่สูญเปล่า แม้ว่าทรัมป์จะอยู่ในอำนาจและพรรครีพับลิกันกำลังจะควบคุมทั้งสองสภาของรัฐสภา แต่มีความเชื่อมั่นว่าประเทศและโลกจะก้าวหน้าอย่างมั่นคงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยเหตุผลหลักสามประการ
1.แรงผลักดันจากตลาดทุน
ประการแรกและสำคัญที่สุดคือแรงผลักดันมหาศาลที่สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาในตลาดทุนเอกชนเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์นี้
ตั้งแต่ปี 2013 จนถึงสิ้นปี 2023 กองทุนที่เน้นแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เงินสนับสนุนทั่วโลกเพิ่มขึ้น 25 เท่า จำนวนเงินรวมเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากน้อยกว่า 5% ในปี 2013 เป็น 16% ในปี 2023
ปัจจุบัน บริษัทไพรเวทอิควิตี้ 7 ใน 10 อันดับแรก เมื่อวัดจากสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ มีกองทุนที่เน้นแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ การใช้จ่ายทั่วโลกสำหรับเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานกำลังมุ่งสู่ระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 2 เท่าของจำนวนเงินที่ใช้จ่ายไปกับเชื้อเพลิงฟอสซิล
หน่วยงานประมาณ 75 แห่งของบริษัทใหญ่ที่เรียกว่า CVC ก็กลายมาเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน ในปี 2021 กองทุนขององค์กรเหล่านี้ได้อัดฉีดเงิน 11,000 ล้านดอลลาร์ให้กับเทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศและพลังงาน ซึ่งคิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของการลงทุนสาธารณะและเอกชนทั้งหมดในปีนั้น
พันธบัตรสีเขียวซึ่งสนับสนุนกรอบเวลาที่ขยายออกไปซึ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาและปรับขนาดเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ มียอดขายสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023
แน่นอนว่า หนทางยังอีกยาวไกล การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 จำเป็นต้องเพิ่มรายจ่ายประจำปีขึ้นมากกว่า 60% เป็น 9.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานและการใช้ที่ดิน แต่ประเด็นสำคัญคือ ภาคเอกชนมุ่งมั่นสูงในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงปัญหาสภาพภูมิอากาศ ไม่หันหลังกลับง่ายๆแน่นอน
2. แรงกดดันจากการเมือง
สิ่งที่สองที่ทำให้เห็นว่ายังมีความหวังคือความเป็นจริงทางการเมือง ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะแก้ไขกฎหมาย Inflation Reaction Act-IRA ซึ่งออกแบบมาเพื่อกระตุ้นโครงการพลังงานสะอาดผ่านเงินช่วยเหลือ เงินกู้ และเครดิตภาษี แต่โอกาสจะทำได้มีน้อย
ในช่วงสองปีนับตั้งแต่ประธานาธิบดีไบเดนลงนามในกฎหมาย IRA โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรครีพับลิกัน การลงทุนในพลังงานสีเขียวคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของการเติบโตของการลงทุนภาคเอกชนในสหรัฐฯ ทั้งหมด ส่งผลให้มีการสร้างงานใหม่ประมาณ 330,000 ตำแหน่ง (ประมาณ 40% ในแบตเตอรี่ 20% ในพลังงานแสงอาทิตย์ และ 13% ในเทคโนโลยีสะอาด) มีการขยายหรือสร้างโรงงานมากกว่า 550 แห่งใน 46 รัฐ ที่น่าทึ่งคือ การลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นโดยที่ยังไม่มีการใช้แรงจูงใจจาก IRA เกิน 20%
แม้ว่าทรัมป์จะตั้งใจจริงที่จะลดความสำคัญของ IRA ซึ่งเขาเรียกมันว่า “กลลวงสีเขียวใหม่” ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดที่เป็นเช่นนั้น เพราะเงินทุนส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในส่วนต่างๆ ของประเทศที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งหมายถึงพื้นที่สีแดง(พรรครีพับลิกัน) ทั้งที่ในความเป็นจริง เงิน 1 ดอลลาร์ที่เข้าสู่เขตเลือกตั้งของพรรคเดโมแครต 4 ดอลลาร์จะเข้าสู่เขตเลือกตั้งของพรรครีพับลิกัน ตามที่เจย์ เทิร์นเนอร์ ศาสตราจารย์ด้านสิ่งแวดล้อมที่วิทยาลัยเวลสลีย์กล่าว สมาชิกรัฐสภาคนใดก็ตาม แม้จะภักดีต่อทรัมป์อย่างเหนียวแน่นก็ตาม จะต้องคิดให้หนักและนานก่อนที่จะยอมแพ้
3.สร้างชุมชนคนทำงานสิ่งแวดล้อม
เรื่องที่ 3 ที่ทำให้คิดว่าความหวังยังมีอยู่ คือ หนึ่งในพื้นที่ๆสำคัญมากที่สุดเพื่อบรรลุเป้า Net Zero คือการดึงดูดและเทรนคนรุ่นใหม่ที่จะมาทำงานด้านพลังงานสะอาด เป็นบางเรื่องที่รัฐบาลทรัมป์อาจสนับสนุนต่อเนื่อง
ภาพรวม งานนี้ต้องการคนมาทำงานราว 4 ล้านคนในช่วง 5-6 ปีข้างหน้า แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่จะหาคนมาจากไหน คำตอบแรกๆ คือ Angeleno Group หนึ่งในองค์กรที่ทำงานด้าน Venture Capital และการลงทุนมายาวนาน ขณะที่คนในวงการส่วนใหญ่บอกว่านี่เป็นความท้าทายใหญ่สุดที่บริษัทเผชิญอยู่คือ การหาพนักงานที่มีทักษะแบบที่ต้องการ
คงไม่สามารถคาดหวังว่ารัฐบาลทรัมป์จะฝึกคนจำนวนมากเพื่อทำงานนี้ได้ ตัวอย่างเช่น เทคนิเชี่ยนที่ทำเรื่อง EV Charger แต่งานซึ่งจะช่วยเรื่องการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่มีความต้องการสูงมากอื่นๆ คือ ทักษะด้านการค้าขาย ช่างก่อสร้าง ช่างไฟฟ้า ช่างเชื่อม ที่ทรัมป์แสดงให้เห็นว่าเขาสนใจเพิ่มคนเฉพาะบางสาขายังคงมีอยู่ แต่ทั่วโลกต้องยืนหยัดร่วมมือกันแก้วิกฤตโลกเดือด มีความเชื่อว่า จะร่วมด้วยช่วยกัน ลดความรุนแรงของปัญหา เพราะประธานาธิบดีคนใหม่แสดงท่าทีมาแล้วว่าไม่สนใจเรื่องนี้จริงจัง
ที่มา