NEXT GEN

Checklist 7 แนวทางรับมือของผู้ลงทุนต่อสถานการณ์ #COVID19

4 พฤษภาคม 2563…สถาบันไทยพัฒน์ เผยCOVID-19 ได้กลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรง ไม่เฉพาะในมิติสุขภาพโลก แต่ยังส่งผลทั้งในมิติชุมชน มิติเศรษฐกิจ และมิติการลงทุน

ภายใต้หลักการดูแลรักษาทุนในระยะยาว ผู้ลงทุนสามารถและควรลงมือช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบที่เป็นภยันตราย ทั้งผลทางตรงด้านสาธารณสุข ความรุนแรงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่สืบเนื่องจากการระบาดใหญ่ (Pandemic) และความไม่เสมอภาคทางสังคมที่ยิ่งถลำลึก รวมทั้งปัญหาสุขภาพจิตที่มีสาเหตุจากผลกระทบดังกล่าว

วิกฤตโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ลงทุนและผู้รับประโยชน์อย่างถ้วนหน้า โดยไม่จำกัดรูปแบบของการถือครอง กลยุทธ์ที่ใช้ หรือบทบาทที่ดำรงอยู่ในห่วงโซ่การลงทุน การรับมือกับวิกฤตจึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของบูรณภาพทั้งระบบ และผลตอบแทนทั้งมวลในระยะยาว มากกว่าการให้ความสำคัญกับผลประกอบการของบริษัทที่เข้าไปเกี่ยวข้อง

การไหลออกของเงินลงทุนในช่วงสถานการณ์ อาจมีผลทำให้ผู้ลงทุนสถาบันที่จัดการแทนเจ้าของทรัพย์สิน (Asset Owners) และผู้ให้บริการจัดการเงินลงทุน (Asset Managers) ต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านสภาพคล่อง รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงจากการไหลออกของเงินลงทุนและการตกต่ำของมูลค่าตลาดโดยรวม

กระนั้นก็ตาม ผู้ลงทุนสถาบันที่ยึดหลักของการลงทุนที่รับผิดชอบ (Responsible Investment) สามารถและพึงใช้บทบาทของตนที่มีต่อบริษัทและรัฐบาล ผ่านกระบวนการตัดสินใจลงทุน สนับสนุนบริษัทในวิถียั่งยืนให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ ภายใต้การคำนึงถึงประโยชน์ด้านสาธารณสุข และสมรรถนะด้านเศรษฐกิจในระยะยาว แม้จะต้องถูกจำกัดผลตอบแทนในระยะสั้นก็ตาม

หน่วยงาน PRI ซึ่งเป็นผู้จัดทำและเผยแพร่หลักการลงทุนที่รับผิดชอบในการสนับสนุนของสหประชาชาติ (United Nations-supported Principles for Responsible Investment: PRI) ได้จัดตั้งกลุ่มการร่วมทำงานระดับภาคี (Signatory Participation Group) เพื่อประสานงานและพัฒนาแนวทางการรับมือของผู้ลงทุนสถาบันต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการรับมือสถานการณ์ต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ในระยะสั้น และกลุ่มการปรับวางระบบด้วยการให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

ในกลุ่มแรก เป็นการจัดทำแนวทางที่ผู้ลงทุนควรลงมือดำเนินการโดยทันที เพื่อช่วยลดผลกระทบที่เป็นภยันตราย ด้านวิกฤตสาธารณสุข การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ความไม่เสมอภาคที่เพิ่มสูงขึ้น และประเด็นด้านสุขภาพจิต

ในกลุ่มที่สอง เป็นการจัดทำแนวทางที่ผู้ลงทุนควรลงมือดำเนินการโดยทันที เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบการเงินอนาคตที่พร้อมรับภัยคุกคามทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับประเด็น ESG และให้ลำดับความสำคัญกับการสร้างผลลัพธ์ทางสิ่งแวดล้อมและสังคมในเชิงบวก

สำหรับแนวทางการรับมือของผู้ลงทุนสถาบันต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ Investor Response Guidance on COVID-19 ที่สถาบันไทยพัฒน์จัดทำขึ้น ประกอบด้วย 7 แนวทาง ดังนี้

แนวทางที่ 1: สานสัมพันธ์กับบริษัทที่ไม่สามารถจัดการกับวิกฤตที่เกิดขึ้น

ผู้ลงทุนควรสานสัมพันธ์กับบริษัทที่ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของแรงงาน และ/หรือดูแลความมั่นคงทางการเงินของกิจการ และบริษัทซึ่งยังคงให้ลำดับความสำคัญที่ค่าตอบแทนผู้บริหาร และ/หรือผลตอบแทนระยะสั้นแก่ผู้ถือหุ้น

วิธีที่บริษัทใช้ในการจัดการวิกฤตโควิด จะส่งผลไม่เพียงแต่มูลค่าและงบการเงินของกิจการ บริษัทที่จำกัดสิทธิลาป่วย (โดยได้รับค่าจ้าง) อย่างไม่เป็นธรรม ปลดพนักงานก่อนเหตุจำเป็นหรือทั้งที่มีมาตรการให้ความช่วยเหลือจากรัฐ หรือไม่สามารถจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย กำลังก่อความเสียหายโดยตรงและทันทีต่อบุคลากร ต่อเศรษฐกิจ และต่อผู้ลงทุน รวมถึงทำให้ความเร็วในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเนิ่นช้าลงในท้ายที่สุด ส่วนบริษัทที่ให้ลำดับความสำคัญต่อการจัดการทุนด้านมนุษย์ จะช่วยหลีกเลี่ยงความเสียหายมิให้ขยายวงเพิ่มเติมและเสริมหนุนให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น

ยังไม่ถึงขวบปีที่ภาคธุรกิจ (โดยกลุ่ม Business Roundtable) ได้มีการประกาศครั้งใหญ่ที่จะผละจากความสำคัญที่มีต่อผู้ถือหุ้นเป็นลำดับแรก วิกฤตครั้งนี้ถือโอกาสเฉพาะสำหรับบริษัทในการเร่งลงมือปรับบทบาทที่มีต่อพนักงาน ผู้รับจ้าง ผู้ส่งมอบ และชุมชน ให้มีลำดับความสำคัญเหนือความต้องการระยะสั้นของผู้ถือหุ้น

เอกสารใหม่ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UNGC) จะช่วยให้ผู้ลงทุนทราบแนวทางปฏิบัติที่ดีของกิจการในการรับมือกับวิกฤตโควิด

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรใช้ข้อมูลจากการรายงานของสื่อ แหล่งข้อมูลจากภาคประชาสังคม และผู้ให้บริการข้อมูล ESG (Environmental, Social and Governance) ที่เน้นเปิดเผยข้อพิพาท / ข้อเล่าลือที่เกิดขึ้น เพื่อระบุถึงวิธีปฏิบัติที่ต่ำเกณฑ์ และยกเป็นข้อกังวลไปยังบริษัทที่เกี่ยวข้องผ่านการสานสัมพันธ์ ถ้อยแถลงในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือการแสดงออกเชิงรุกด้วยการออกเสียงค้านคณะกรรมการบริษัท การออกเสียงไม่เห็นด้วยกับคำชี้แจง หรือเรียกให้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในกรณีร้ายแรง เป็นต้น

แต่หากเป็นวิธีปฏิบัติที่ดี ก็ควรได้รับคำชมเชย อาทิ บริษัทที่ปรับเปลี่ยนสายการผลิตเดิม มาผลิตสิ่งที่จำเป็นในช่วงสถานการณ์ เช่น เครื่องช่วยหายใจทางการแพทย์ อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (PPE) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือ ฯลฯ

ผู้ลงทุนควรผลักดันให้มีการจัดการด้านการเงินที่รับผิดชอบ ซึ่งเอื้อให้บริษัทดำเนินการจัดลำดับความสำคัญกับพนักงาน ผู้รับจ้าง ผู้ส่งมอบ และสุขภาวะของบริษัทในระยะยาว มากกว่าโบนัสของฝ่ายบริหาร การซื้อ(หุ้น)คืน และเงินปันผลสำหรับผู้ถือหุ้น

แนวทางที่ 2: สานสัมพันธ์ในจุดที่ภัยอื่นถูกปกปิด ทิ้งไว้เบื้องหลัง หรือทำให้เลวร้ายลงด้วยวิกฤตที่เกิดขึ้น

ผู้ลงทุนควรสานสัมพันธ์กับบริษัทและรัฐบาลที่ใช้การปิดบังวิกฤตเพื่อเลี่ยงการถูกตรวจสอบ หรือในจุดที่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอุปทานและอุปสงค์ และห่วงโซ่อุปทาน ไปเพิ่มความเสี่ยงในประเด็นด้านอื่นให้รุนแรงขึ้น

ผู้ลงทุนควรจับตาดูกรณีที่บริษัทและรัฐบาลฉวยโอกาสในการตัดสินใจหรือประกาศในเรื่องที่โดยปกติต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ ในช่วงสถานการณ์ที่สาธารณชนและสื่อกำลังให้ความสนใจกับการรับมือโรคโควิด 19

ผู้ลงทุนควรประเมินความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบอุปสงค์-อุปทานที่ไปเพิ่มความเสี่ยงในประเด็นด้านอื่นให้รุนแรงขึ้น อาทิ ความต้องการเนื้อสัตว์และอาหารแปรรูปที่เพิ่มขึ้น อาจเพิ่มแรงกดดันต่อการทำลายป่าที่เกี่ยวโยงกับสายอุปทานถั่วเหลือง ปศุสัตว์ และน้ำมันปาล์ม หรือการเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าที่ส่งถึงบ้าน (กับประเด็นข้อกังวัลด้านความปลอดภัยต่อการปนเปื้อนเชื้อโควิดในระหว่างทาง) ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ทำให้การทำงานในคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และการส่งพัสดุ มีสภาพเลวร้ายลงกว่าเดิม

ข้อมูลที่เปิดเผยจากบริษัท รายงานจากสื่อ และจากผู้ให้บริการข้อมูล ESG (Environmental, Social and Governance) ที่เน้นเปิดเผยข้อพิพาท / ข้อเล่าลือที่เกิดขึ้น สามารถใช้เพื่อเฝ้าสังเกตพฤติกรรมและยกขึ้นเป็นข้อกังวลได้

แนวทางที่ 3: ปรับลำดับความสำคัญของการสานสัมพันธ์ในประเด็นอื่น

ผู้ลงทุนควรปรับลำดับความสำคัญของการสานสัมพันธ์กับบริษัทที่อยู่ในระหว่างการจัดการวิกฤตโดยเน้นที่ประเด็นโควิด 19 มากกว่าประเด็นอื่นในช่วงสถานการณ์

การหารือกับบริษัทและสาขาอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกฟระทบควรมุ่งเน้นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโควิด 19 และการรับมือกับสถานการณ์ การอภิปรายในประเด็นอื่นๆ ควรเลื่อนออกไปตามที่เป็นไปได้ เพื่อเอื้อให้คณะกรรมการและฝ่ายจัดการ มีความสามารถที่จะเน้นเรื่องการจัดการวิกฤตเป็นสำคัญ

แม้เป็นการสานสัมพันธ์ในเรื่องโควิด 19 โดยที่มิได้มีหลักฐานแสดงว่าบริษัทมีพฤติกรรมขาดความรับผิดชอบ ผู้ลงทุนควรตระหนักถึงความจำเป็นที่จะให้เวลาและให้โอกาสบริษัทได้ใช้ความสามารถที่จะจัดการตามแนวทางของกิจการให้ก้าวผ่านวิกฤติ

แนวทางที่ 4: สนันสนุนอย่างเปิดเผยต่อการรับมือทางเศรษฐกิจโดยรวม

ผู้ลงทุนควรใช้เสียงในฐานะมหาชน ผลักดันรัฐบาลและบริษัทให้ลงมือดำเนินการเพื่อส่วนรวมอย่างเหมาะสม ด้วยเสียงอันเป็นที่ยอมรับในภาคการเงิน ผู้ลงทุนควรแสดงการสนับสนุนอย่างเปิดเผย ต่อความช่วยเหลือของรัฐในระดับที่จำเป็นต่อการทำให้เกิดการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและเหมาะสม ในด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจโลก

การส่งสัญญาณประชาคม สามารถใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการสื่อสารความคาดหวังไปยังบริษัทที่ลงทุน (Investees) โดยไม่ทำให้เกิดการหันเหการใช้ทรัพยากรของบริษัทไปจากการจัดการวิกฤต

ผู้ลงทุนสามารถแสดงทัศนะผ่านทางเว็บไซต์ ถ้อยแถลงผ่านสื่อ และในการประชุมสามัญประจำปี เป็นต้น

 

แนวทางที่ 5: มีส่วนร่วมในการประชุมสามัญประจำปีเสมือนจริง (Virtual AGMs)

ผู้ลงทุนควรใช้ช่องทางเสมือนจริงในการเข้าร่วมประชุมสามัญประจำปี เพื่อควบคุมดูแลบริษัทที่ลงทุน (Investees) ได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง

การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี (Annual General Meetings: AGMs) เป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ลงทุนในการซักถาม และเน้นการสนับสนุนต่อเรื่องการจัดการทุนด้านมนุษย์ที่รับผิดชอบ การให้ลำดับความสำคัญในการจัดการทางการเงินระยะยาวเหนือการจ่ายปันผลและการซื้อ(หุ้น)คืน การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการในการจัดการวิกฤตและการวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ รวมทั้งยังใช้เป็นเครื่องมือสำหรับผู้ลงทุนในการเน้นย้ำประเด็นความสำคัญที่นอกเหนือจากเรื่องโควิด 19 ซึ่งบริษัทมิอาจเพิกเฉย อาทิ ภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Emergency)

ขณะที่การใช้ช่องทางการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีออนไลน์ได้ถูกหยิบยกเป็นข้อกังวลด้านการกำกับดูแลกิจการ (Governance) มาก่อนหน้านี้ แต่ในสภาพการณ์ปัจจุบัน ผู้ลงทุนพึงใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวทดแทนการประชุมแบบซึ่งหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าการควบคุมดูแล (Oversight) บริษัทที่ลงทุนยังคงดำเนินต่อไปอย่างเหมาะสม

แนวทางที่ 6: พร้อมรับคำขอความช่วยเหลือต่อการสนับสนุนทางการเงิน

ผู้ลงทุนควรเปิดช่องให้การสนับสนุนบริษัท ลูกหนี้ และรัฐบาล ด้วยการให้ความยืดหยุ่นในข้อตกลงทางการเงิน และด้วยการให้การสนับสนุนทางตรงเพิ่มเติม หากเป็นไปได้

เนื่องจากบริษัทได้รับแรงกดดันทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ผู้ลงทุน ไม่ว่าจะมีสินทรัพย์ที่ลงทุนประเภทใด อาจได้รับการร้องขอให้ช่วยในเรื่องการผ่อนปรนหนี้หรือข้อผูกพันทางการเงินจากเงื่อนไขปกติ ซึ่งตามธรรมดา จะมีการพิจารณาเป็นรายกรณีไป แต่ถ้าหากทำได้ ผู้ลงทุนควรพิจารณาให้การช่วยเหลือผ่อนผันให้มากเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อช่วยรับมือและฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวมอย่างสอดประสานกัน

ผู้ลงทุนที่มีโอกาสสนับสนุนรัฐบาลในการให้ทุนสำหรับรับมือกับสถานการณ์ ควรที่จะเข้าร่วมโดยไม่รีรอ

แนวทางที่ 7: คงจุดเน้นที่มุมมองระยะยาวในการพิจารณาตัดสินใจลงทุน

ผู้ลงทุนควรปรับมุมมองระยะยาวในการดูแลการลงทุน (Stewardship) ให้อยู่ในแนวเดียวกับมุมมองระยะยาวในการพิจารณาตัดสินใจลงทุน

ผู้ลงทุนควรทบทวนสถานะและการซื้อขายหลักทรัพย์ รวมถึงที่กระทำผ่านผู้จัดการลงทุนภายนอก เพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรมการลงทุนได้ถูกปรับให้ตอบโจทย์ความจำเป็นทางเศรษฐกิจโดยรวมและในระยะยาว รวมทั้งคำนึงถึงข้อกังวลเกี่ยวกับผลที่อาจเกิดขึ้นจากการขายชอร์ต (Short Selling) หรือการยืมหลักทรัพย์มาเพื่อขายทำกำไรในภาวะตลาดขาลง ที่ทำให้สถานการณ์ทรุดหนักยิ่งขึ้น

You Might Also Like