CSR

เผยสูตรสำเร็จการบริหารจัดการน้ำ “แล้งนี้จัดการได้”

13 กรกฎาคม 2563… “แล้งนี้จัดการได้” หากสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยทาที่อยู่ไกลจากหมู่บ้านราว ๆ 1,700 เมตร มาเติมลงในบ่อพักน้ำเดิมของหมู่บ้าน

พื้นที่ที่เห็นคือ บ้านโนนตูมถาวร หมู่ที่ 12 ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ถือเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่มีเสน่ห์และอัตลักษณ์เฉพาะตัว มีวัฒนธรรมความเชื่อจากเชื้อสาย “ขอม” หรือ “เขมร” ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ หรือ อีสานใต้ พื้นที่ติดกับ”เขาพระวิหาร” รอบหมู่บ้านส่วนใหญ่ติดกับเทือกเขาพนมดงรัก หนึ่งในป่าต้นน้ำของแม่น้ำหลายสายหลั่งไหลหล่อเลี้ยงชีวิตใน จ.ศรีสะเกษ

ที่นี่เป็นหนึ่งในพื้นที่สีแดง คือมีดินสีแดงที่มีแร่ธาตุสูง เพราะเคยเป็นแหล่งกำเนิดภูเขาไฟ จึงเหมาะแก่การทำการเกษตร จึงได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตผลไม้ เช่น ทุเรียน เงาะ ลำไย มังคุด ลองกอง มะปราง มะม่วง ที่ให้ผลผลิตดีและรสชาติอร่อย โดยเฉพาะทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ ที่มีลักษณะแตกต่างจากทุเรียนที่ปลูกที่อื่น คือ กลิ่นไม่แรง เนื้อละเอียด นุ่ม แห้ง จนได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI –Geographical Indication)

ทว่าสิ่งที่เป็นปัญหามาโดยตลอดคือ ภัยแล้ง เป็นปัญหาต้นเรื่องความยากจน

ฝ่าภัยแล้งซ้ำซาก เอาชนะข้อจำกัดด้านพื้นที่ ลุกขึ้นสู้เปิดความหวังสู่ชุมชน

ร.ต.เหมราช สุดาชาติ อดีตข้าราชการนายทหาร จากเด็กที่เกิดและเติบโตมาในหมู่บ้าน “โนนตูมถาวร” และทำหัวข้อวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน เข้าใจต้นตอของปัญหา “ความยากจน” ของพี่น้องภายในหมู่บ้าน ที่นำไปสู่ปัญหาทางสังคม ว่าล้วนมีสาเหตุมาจาก การขาดการบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่น ไม่มีการสำรองน้ำไว้ใช้เพื่อการอุปโภค-บริโภค และทำเกษตร จึงทำให้ได้รับผลกระทบจากปัญหาแล้งในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. ของทุกปี บางปีเกิดน้ำท่วมในช่วงฝนหลากเป็นประจำ

ชาวบ้านที่ทำการเกษตรจึงต้องดิ้นรนสู้ภัยแล้ง หาวิธีเอาตัวรอดเฉพาะตัว สำหรับคนที่มีทุนหนา ก็ใช้รถขนน้ำจากแหล่งน้ำห่างไกล ส่วนคนทุนน้อยก็พลิกไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยแทน โดยเฉพาะในปี 2563 นี้ เป็นปีที่เกิดภัยแล้งหนักหน่วงที่สุดในรอบ 40 ปี และยังเป็นปีที่มีวิกฤตซ้ำซ้อนจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบที่รุนแรงกว่าเดิม นอกจากรายได้ที่ลดลงอย่างมาก เกษตรบางรายต้องยอมรับชะตากรรมปล่อยให้ผลผลิตเสียหาย

อดีตนายทหารเชื่อว่า “แล้งนี้จัดการได้” หากสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยทาที่อยู่ไกลจากหมู่บ้านราว ๆ 1,700 เมตร มาเติมลงในบ่อพักน้ำเดิมของหมู่บ้าน จึงลุกขึ้นเป็นแกนนำชักชวนคนในชุมชนแก้ภัยแล้งร่วมกัน แม้จะดูมีความหวัง แต่อีกหลายเสียงก็ยังไม่เชื่อว่าการสูบน้ำจะเป็นไปได้จริง เพราะเป็นเส้นทางที่ไกล และที่สำคัญหมู่บ้านอยู่สูงจากอ่างเก็บน้ำ 52 เมตร เทียบได้กับตึก 17 ชั้น ทำให้ ต้องวางท่อและเครื่องปั๊มน้ำผ่านหน้าผาสูงชัน จึงจะสามารถสูบน้ำมายังบ่อพักน้ำในหมู่บ้านได้

“ตอนที่เราไปชักชวนมาทำไม่มีใครเชื่อว่าจะดึงน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทามาใช้ได้ แต่นี่คือความหวังเดียวในการต่อสู้กับภัยแล้งของชาวบ้านที่ทำการเกษตร เพราะไม่ใช่ทุกคนที่มีกำลังจะวิ่งรถไปขนน้ำทุกวัน ต้องจ่ายค่าน้ำ 500 – 600 บาท ต่อเดือน ยังไม่รวมกับค่าน้ำมันรถในการขนน้ำ”

ค้นพบคำตอบ ปลดล็อคภัยแล้ง

ร.ต.เหมราช ได้เห็นภาพของโครงการ “เอสซีจี ร้อยใจ 108 ชุมชน รอดภัยแล้ง” ในสื่อโซเชียลมิเดีย จึงเกิดแรงบันดาลใจและรีบติดต่อไปยังสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. เพื่อขอความรู้และเข้าร่วมโครงการฯ ด้วยต้องการแก้ปัญหาน้ำอย่างครบวงจร

หลังจากติดต่อเล่าถึงปัญหาชุมชน ร.ต.เหมราชก็รีบกลับมาเขียนแผนการดึงน้ำจากอ่างห้วยทามาพักไว้ในบ่อน้ำสาธารณะภายในหมู่บ้าน มีการนำเสนอแผนผ่านทั้งทางโทรศัพท์ และไปนำเสนอด้วยตัวเองที่กรุงเทพฯ รวมถึงวิดีโอคอนเฟอเรนซ์อีก 2-3 ครั้งในช่วงที่เกิดการประกาศพระราชกำหนดฉุกเฉิน (ล็อกดาวน์) จนกระทั่งแผนงานที่เสนอไปผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการภายในระยะเวลา 2-3 เดือน สสน.จึงส่งคู่มือการติดตั้ง พร้อมกับทุ่นลอยน้ำ แผงโซลาเซลล์ และอุปกรณ์ปั๊มน้ำ เพื่อสูบน้ำจากอ่างห้วยทาไปยังบ่อพักน้ำ โดยชาวบ้านช่วยกันลงแรงในการติดตั้ง ใช้เวลา 3 วัน แม้จะเสร็จแล้วก็ยังมีปัญหาท่อแตกน้ำไม่ไหล จึงต้องซ่อมแซมหลายรอบกว่าที่ชาวบ้านได้จะได้ใช้น้ำ

ชาวบ้านช่วยกันระดมติดตั้งพื้นที่ผันน้ำ โดยการศึกษาจากแบบของระบบวิศกรรมที่ สนน. ส่งมาให้ใน 5 จุด ประกอบด้วย

จุดที่ 1 ติดตั้งปั๊มสูบน้ำโซล่าเซลล์และทุ่นลอยน้ำ เพื่อดึงน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยทามาเก็บที่สระเก็บน้ำของวัดในชุมชน
จุดที่ 2 ติดตั้งปั๊มสูบน้ำจากสระเก็บน้ำของวัดและวางท่อ เพื่อดึงน้ำไปยังสระเก็บน้ำสาธารณะหมู่บ้าน
จุดที่ 3 วางท่อส่งน้ำจากจุดแรงดันน้ำระบบท่อริมอ่างเก็บน้ำห้วยทาไปยังปั๊มสูบน้ำโซลาเซลล์
จุดที่ 4 วางท่อส่งน้ำจากจุดตั้งถังแรงดันน้ำระบบท่อริมอ่างเก็บน้ำห้วยทา
จุดที่ 5 วางท่อส่งน้ำจากสระเก็บน้ำวัดไปถึงสระเก็บน้ำสาธารณะ

ส่งผลให้ให้ชุมชนกว่า 380 คน ใน 93 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ 4,000 ไร่ ได้รับประโยชน์จากการผันน้ำ สำหรับใช้ในการอุปโภคบริโภค


“มีน้ำ ก็มีป่า ก็ทำการเกษตรได้ ช่วยให้ทุกคนปลูกพืชอะไรก็ได้มาเสริมรายได้หลัก จากเดิมที่หลีกเลี่ยงการปลูกพืชที่ไม่ต้องใช้น้ำมาก การมีน้ำจึงเปรียบเสมือนมีหลอดเลือดเลี้ยงร่างกาย หล่อเลี้ยงไปทุกส่วนของร่างกาย พอมีน้ำ ชาวบ้านก็อยากปลูกอยากทำ เพิ่มช่องทางหารายได้”

ร.ต.เหมราชวิเคราะห์ผลสำเร็จจากการร่วมมือกันของชุมชนเพื่อสู้ภัยแล้งในครั้งนี้ ว่าเป็นเพราะชุมชนเข้าใจตัวตน ภูมิหลัง รู้จักต้นทุนทรัพยากรที่มี จึงรู้ปัญหาและความต้องการของชุมชนโดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือ

ที่สำคัญชุมชนเป็นผู้ที่ลุกขึ้นมาสร้างความสามัคคี พึ่งพาตนเอง พร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้ และเทคโนโลยีใหม่ ในการแก้ปัญหา

 

You Might Also Like