NEXT GEN

6 เรื่องต่อไปนี้ มีนัยยะทางเศรษฐกิจ แต่ไทยยังไม่แสดงท่าทีชัดเจนในที่ประชุม COP26

17 พฤศจิกายน 2564…ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยประเด็น ที่ประชุม COP26 มีความเสี่ยงต่อธุรกิจมากมาย สำหรับประเทศไทย จะส่งผลกระทบต่อประชาชนและเศรษฐกิจอย่างมากในพื้นที่กทม.  ภัยธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้นนี้ คงจะทำให้ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณสูงขึ้น และเกิดประเด็นด้านเศรษฐกิจตามมา โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในภาพใหญ่ทั่วโลกได้มีการเจรจาให้ประเทศต่าง ๆ เร่งดำเนินการเพิ่มเติม  อาทิ

-การลดการสูญเสียป่าไม้และความเสื่อมโทรมของผืนดิน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ป่า ความหลากหลายทางชีวภาพ และการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างยั่งยืน โดยมีรัฐบาล 141 ประเทศ เข้าร่วมในลงนามแสดงเจตนารมณ์ในการรักษาป่าไม้ ซึ่งรวมถึง 4 ประเทศยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้นำในการปล่อย CO2 อย่าง จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย อย่างไรก็ดี ประเทศอินเดีย กลับไม่ได้เข้าร่วมแสดงเจตนารมณ์ในครั้งนี้ด้วย สำหรับประเทศอาเซียนนั้น มีผู้เข้าร่วม 6 ประเทศ ได้แก่ บรูไน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย โดย ไทย ลาว พม่า และกัมพูชา ยังไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ในการเข้าร่วมครั้งนี้

-การลดการผลิตก๊าซมีเทนอย่างน้อย 30% ภายในปี 2030 (เทียบกับระดับในปี 2020) ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดอุณหภูมิของโลกลงอย่างน้อย 0.2 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 โดยมีรัฐบาล 104 ประเทศเข้าร่วมลงนามในการลดการผลิตก๊าซมีเทน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการใช้พลังงานฟอสซิล ถ่านหิน และจากภาคการเกษตรโดยเฉพาะปศุสัตว์ อย่างไรก็ดี ประเทศ จีน อินเดีย และรัสเซีย ไม่ได้เข้าร่วมด้วย สำหรับประเทศอาเซียน มี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่เข้าร่วมลงนาม โดย บรูไน ไทย มาเลเซีย ลาว พม่า และกัมพูชา ยังไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ในการเข้าร่วมครั้งนี้

พลังงานชีวมวล ฟางข้าวที่อัดแข็งเป็นเชื้อเพลิง

-การลดและยุติการใช้พลังงานจากถ่านหินภายในปี 2040 มีรัฐบาลกว่า 40 ประเทศที่เข้าร่วมแสดงเจตนารมณ์ แต่ไม่รวมถึงประเทศผู้ผลิตและใช้พลังงานถ่านหินเป็นหลักอย่าง จีน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอินเดีย ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตประมาณ 50% ของการผลิตพลังงานจากถ่านหินทั่วโลก อย่างไรก็ดี จีนและสหรัฐอเมริกา ได้มีการออกประกาศข้อตกลงร่วมกันสำหรับความพยายามลดการใช้พลังงานจากถ่านหินในช่วงปี 2026 – 2030 สำหรับประเทศอาเซียน มีเพียง สิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซียที่เข้าร่วมแสดงเจตนารมณ์

-การเปลี่ยนผ่านไปสู่การจำหน่ายและการใช้ยานยนต์ที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก (Zero Emission Vehicle) ภายในปี 2035 สำหรับประเทศผู้นำตลาดยานยนต์ และภายในปี 2040 สำหรับประเทศที่เข้าร่วม โดยมีรัฐบาล 32 ประเทศ เข้าลงนามร่วมกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 11 แห่ง และแพลตฟอร์มที่มีการใช้ยานยนต์อีกกว่า 20 แห่งทั่วโลก ซึ่งประเทศอาเซียนที่เข้าร่วมด้วยนั้น มีเพียงกัมพูชา ประเทศเดียวที่แสดงเจตนารมณ์ในด้านนี้ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้เข้าร่วมแสดงเจตนารมด้วยแต่อย่างใด แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะมีการประกาศนโยบายที่ชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศทั้งหมดภายในปี 2030

กสิกรไทย ส่งบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ ESG

-การลดก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมขนส่งทางเรือ (Shipping) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซ CO2 3% ของสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 ทั่วโลก โดยมีกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร รวม 19 ประเทศ ได้เข้าร่วมตกลงในการเปิดเส้นทางการค้าทางทะเลที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกระหว่างกัน

-การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมด้านการเกษตร และการผลิตอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีรัฐบาลจาก 18 ประเทศ ซึ่งรวมถึง 5 ประเทศอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว เวียดนาม และอินโดนีเซีย เข้าร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรและสถาบันการเงินระหว่างประเทศรวมกว่า 160 แห่งทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ยังไม่ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในเรื่องนี้

สำหรับท่าทีของไทยนั้น ยังไม่ได้ประกาศเจตนารมณ์ในด้านอื่น ๆ ที่ชัดเจนในที่ประชุม COP26 นอกเหนือจากการประกาศการเข้าสู่การเป็น Net zero ในปี 2065 นั้น เนื่องจากยังคงมีขั้นตอนและกระบวนการที่จะต้องนำเสนอข้อตกลงให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติก่อนที่จะประสานแจ้งให้เจ้าภาพทราบเป็นทางการ ดังนั้น ยังคงต้องติดตามท่าทีและการดำเนินการของไทยในการสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียวอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลก และความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศนั้น จะส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นในทุกปี และกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ซึ่งกรีนพีซได้ทำการศึกษา 7 เมืองใหญ่ในทวีปเอเซีย พบว่า ภาวะโลกรวนจะส่งผลกระทบต่อประชาชนและเศรษฐกิจอย่างมากในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าน้ำทะเล มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะน้ำทะเลหนุนและน้ำท่วม โดยคาดว่าจะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจรวมแล้วกว่า 5.12 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 10 ปี

ภัยธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้นนี้ คงจะทำให้ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณ โดยเฉพาะงบฉุกเฉินเพื่อช่วยผู้ประสบภัย รวมถึงงบในการฟื้นฟูและเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ตลอดจนการป้องกันภัยธรรมชาติที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ซึ่งหากรายจ่ายดังกล่าวมีขนาดที่เพิ่มขึ้นตามความแปรปรวนของสภาพอากาศอย่างที่คาดการณ์กันเอาไว้ ก็คงจะทำให้เกิดประเด็นด้านเศรษฐกิจตามมา อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง

 

You Might Also Like