ปี 2026 จุดเริ่มของเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

2026 คือปีที่โลกต้องพิสูจน์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจและความเท่าเทียมทางสังคม คือสองแรงขับเคลื่อนเดียวกันของความยั่งยืน

พฤศจิกายน 1-3,2025…ในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่โลกคาร์บอนต่ำ ปี 2026 ไม่ใช่เพียง “อีกหนึ่งปีของการประชุม COP หรือการตั้งเป้าหมาย Net Zero” แต่คือ “ปีแห่งการลงมือจริง” ที่ทุกภาคส่วนของโลก ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชน ต้องพิสูจน์ว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เพราะความยั่งยืน (Sustainability) ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว
แต่เกิดจาก “ระบบที่ยั่งยืน” และ “สังคมที่เข้มแข็ง” เดินไปพร้อมกัน

จุดเปลี่ยนด้านสภาพภูมิอากาศ
จากนโยบายสู่การลงมือจริง

ภายหลังจากที่กว่า 140 ประเทศทั่วโลกประกาศเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โลกกำลังเข้าสู่ “ทศวรรษแห่งการลงมือ” และปี 2026 คือหมุดหมายสำคัญของแผนปฏิบัติการ

พลังงานสะอาดกำลังเป็นโครงสร้างหลักของเศรษฐกิจใหม่ การลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลกลายเป็น เงื่อนไขของความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มากกว่าเป็นเพียงนโยบายสิ่งแวดล้อม หลายประเทศเร่งลงทุนใน พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และชีวมวล
พร้อมพัฒนา ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และ โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เพื่อสร้างระบบพลังงานที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

ธุรกิจชั้นนำเริ่มสร้างระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง บริษัทระดับโลก เช่น SCG, Siemens, Unilever, หรือ Tesla ต่างประกาศแผน Carbon Management 360° ตั้งแต่การใช้พลังงานสะอาด การรีไซเคิลทรัพยากร ไปจนถึงการลงทุนใน เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS)

ทั้งนี้ นโยบายต้องตรวจสอบได้ ปี 2026 จึงเป็นจุดที่รัฐบาลทั่วโลกต้องเปลี่ยน “นโยบายกระดาษ” ให้กลายเป็น “นโยบายที่วัดผลได้” ตามมาตรฐานทางบัญชี IFRS1,2 ผ่านระบบ Carbon Accounting, Carbon Tax, และ ESG Disclosure นับเป็น Sustainability Data ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็น The New Currencyก็น่าจะเป็นการกล่าวไม่เกินไปนัก

ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่เพียงการรายงาน แต่เป็นการ “ออกแบบแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ” ให้ความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคน

จุดเปลี่ยนด้านสังคม
โลกที่เหลื่อมล้ำมากขึ้นแม้เทคโนโลยีก้าวหน้า

ขณะที่โลกหมุนเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาดและดิจิทัล สิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กันคือ แรงสั่นสะเทือนทาง “สังคม” ครั้งใหญ่

ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง รายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN DESA) ระบุว่าในปี 2026 ประชากรกว่า 2.8 พันล้านคนทั่วโลกยังมีรายได้ต่ำและไม่มั่นคง หลายคนแม้อยู่เหนือเส้นความยากจนเล็กน้อย แต่ยังเผชิญภาวะ “Precarious Economy” ที่รายได้ไม่แน่นอน ไม่มีสวัสดิการ และขาดระบบป้องกันความเสี่ยงในชีวิต

ความเปราะบางของความไว้วางใจ โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ ความเชื่อมั่นต่อสถาบัน ทั้งภาครัฐ ธนาคาร สื่อ และแม้แต่ NGO ลดลง นอกจากนี้ Fake News และ “วัฒนธรรมแบ่งขั้ว” (Polarization) ทำให้เกิดการแตกแยกในสังคม ขณะที่ความร่วมมือ กลับลดลงอย่างน่ากังวล

ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล แม้จะสร้างโอกาสทางนวัตกรรมแต่กลับให้เกิดช่องว่างทางดิจิทัลที่ขยายออก ระหว่างคนที่เข้าถึงเทคโนโลยีกับคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะในตลาดแรงงาน ผู้ที่ไม่มีทักษะดิจิทัลจะกลายเป็น “แรงงานไร้โอกาส” ในระบบใหม่

ความขัดแยกและความสุดโต่งทางการเมือง หลายประเทศเริ่มเผชิญความแตกแยกทางสังคมและการเมืองที่รุนแรงขึ้น การสนับสนุนแนวคิดสุดโต่งและการปิดกั้นความคิดเห็นต่างกำลังคุกคาม “ความยืดหยุ่นทางสังคม”และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว

จุดตัดของสองวิกฤต
Climate × Social

หากมองในเชิงโครงสร้าง ปี 2026 คือ “ปีที่โลกต้องบริหารสองวิกฤตพร้อมกัน” คือ วิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) และ วิกฤตความเหลื่อมล้ำทางสังคม (Social Inequality Crisis)

เพราะ “การลดคาร์บอน” จะไร้ความหมาย หากคนส่วนใหญ่ของโลกยังไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบเศรษฐกิจสีเขียวและ “พลังงานสะอาด” จะไม่ยั่งยืน หากแรงงานจำนวนมากยังถูกทิ้งไว้ในระบบที่ไม่เท่าเทียม

โลกจึงต้องเปลี่ยนจาก “การเติบโตแบบขนาน” เป็น “การพัฒนาแบบบูรณาการ” ที่ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ไม่แยกจากกันอีกต่อไป

Lifestyle Sustainability ไม่ใช่เรื่องคนเมือง แต่คือ “วัฒนธรรมใหม่ของการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ”ตั้งแต่การออกแบบเมือง การบริโภค ไปจนถึงวิธีคิดเรื่องความสุข เพราะสุดท้าย ความยั่งยืนที่แท้จริงไม่ได้วัดจากจำนวนเมกะวัตต์ของพลังงานสะอาด แต่จาก “ความสามารถของมนุษย์ในการอยู่ร่วมกันอย่างเห็นคุณค่า”

ที่มา

1,2,3,4,5,6,7,8