“น้ำ”ไหลจากที่ต่ำขึ้นสูง…ทำได้ ! ด้วย“ซูเปอร์ตะบันน้ำ” นวัตกรรมพื้นบ้าน 

19 พฤศจิกายน 2561…ที่อุณหภูมิ 24 องศา บนพื้นที่ป่า “ต้นน้ำ” ของอทช.น้ำหนาว มองอีกด้านภูเขา อทช.ภูเรือ และตรงหน้ามีเมฆคลุมอยู่ยอดเขาคือ อทช.ภูกระดึง ธรรมชาติยิ่งใหญ่ ช่างเสกสรรค์สิ่งสวยงามล้อมรอบตัวขณะนี้ ตามประสาคนนอกพื้นที่ที่เข้าไปสัมผัส

19 พฤศจิกายน 2561…ที่อุณหภูมิ 24 องศา บนพื้นที่ป่า “ต้นน้ำ” ของอทช.น้ำหนาว มองอีกด้านภูเขา อทช.ภูเรือ และตรงหน้ามีเมฆคลุมอยู่ยอดเขาคือ อทช.ภูกระดึง ธรรมชาติยิ่งใหญ่ ช่างเสกสรรค์สิ่งสวยงามล้อมรอบตัวขณะนี้ ตามประสาคนนอกพื้นที่ที่เข้าไปสัมผัส

แต่สำหรับชุมชนในพื้นที่ป่า “ต้นน้ำ” แห่งนี้ ธรรมชาติที่งดงาม กลับโหดร้าย เพราะต้นน้ำอยู่ต่ำกว่าพื้นที่เกษตรกรรม และโดยหลักธรรมชาติ น้ำไม่เคยไหลสู่พื้นที่สูงกว่า

ดังนั้น เมื่อเดินมาถึงพื้นที่เคยปลูกข้าวโพด อีกด้านปลูกมัน ก็เดาออกว่า เกษตรเชิงเดี่ยวพืชทั้ง 2 ประเภทต้องมาหล่อเลี้ยงชีวิต เพราะต้องการน้ำน้อยมาก แตกต่างจากเกษตรเชิงนิเวศ เป็นสิ่งที่ชุมชนต้องการทำนั้น จำเป็นต้องใช้น้ำมาก

วิไช ด้วงทอง เกษตรกรปลูกผักสวนครัวและข้าวโพดต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ยอมรับว่า ปัญหาหลักในการทำเกษตรในพื้นที่คือ การจัดสรรน้ำจากแหล่งน้ำ โดยต้องใช้ปั๊มสูบน้ำจากสันเขาและพื้นที่ต่ำ ที่ผ่านมาใช้เครื่องปั๊มน้ำน้ำมันดีเซล สูบน้ำขึ้นมาเก็บไว้ในถัง มีค่าใช้จ่ายสูง ราคาขายพืชก็ไม่สูงมาก จึงไม่คุ้มทุนเพื่อให้อยู่รอด จึงต้องการหาวิธีทำการเกษตรทางเลือกอื่นๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิตก็คือเกษตรเชิงเดี่ยว

เกษตรเชิงเดี่ยวทำลายระบบนิเวศสิ่งแวดล้อมเป็นที่มาของวิกฤติด้านสุขภาพ และการทำลายฐานทรัพยากรของตนเอง จำเป็นต้องเข้าถึงแหล่งน้ำให้ได้

ธรรมชาติรังสรรค์ เทือกเขาเพชรบูรณ์ สวย แต่ เจ็บ คงไม่ผิดนัก กับชุมชนในพื้นที่ต้นน้ำ

 

จีระศักดิ์ ตรีเดช นายกสมาคมเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาเทือกเขาเพชรบูรณ์ อธิบายว่า “สมาคมฯวิเคราะห์ และสังเคราะห์ปัญหาร่วมกับชุมชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของชุมชนบนพื้นที่สูงพบว่า ชุมชนมีโอกาสเป็นอย่างมากในการเข้าถึงน้ำในราคาต้นทุนต่ำ เพราะที่ตั้งของชุมชนเป็นพื้นที่ต้นน้ำที่มีปริมาณน้ำมาก แต่ต้องพัฒนานวัตกรรมเพื่อการจัดการน้ำบนพื้นที่สูงให้ชุมชนสามารถเข้าถึงการใช้น้ำด้วยต้นทุนต่ำได้ นั่นคือ เครื่องตะบันน้ำ”

จากพื้นที่เกษตรของชุมชน เดินลงไปไม่เกิน 500 เมตร จะได้ยินเสียงน้ำไหลกระทบชั้นหินชัดเจน เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็เห็นต้นน้ำธรรมชาติ และซูเปอร์ตะบันน้ำที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง

เสียงโลหะกระทบกันดักแต๊กๆ เสียงแรงอัดน้ำถูกดันขึ้นทุกวินาที นี่คือ “ซูเปอร์ตะบันน้ำ”

การตะบันน้ำ หรือ Water Hammer คือ ปรากฏการณ์ที่ความดันภายในท่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและรุนแรง เพราะการเปลี่ยนแปลงความเร็วของน้ำไหลภายในท่อ เช่น การปิดประตูอย่างรวดเร็ว ทำให้ความเร็วในการไหลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้โมเมนตัม ของการไหลถูกเปลี่ยนไปกลายเป็นแรงกระทบบนประตูหรือผนังท่อ ถ้าหากแรงกระแทกที่เกิดขึ้นมากเกินไป วัสดุที่ใช้ทำประตูหรือท่อก็อาจทำให้เกิดการเสียหายได้   แต่ในที่นี้ได้นำหลักการดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยสร้างอุปกรณ์ที่สามารถ ควบคุมแรงดัน เพื่อที่จะนำน้ำที่มีอยู่ตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติมาใช้งาน วงรอบของการทำงาน ประมาณทุกๆ 2 วินาที ในอัตราความสูงที่ส่งได้ คือความสูงต้นทาง 1 เมตร สามารถส่งน้ำได้ในทางดิ่ง 8 ถึง 10 เมตร

วิไช เล่าต่อเนื่องว่า หลังจากได้รับการอบรมจากสมาคมฯ ก็ได้ซูเปอร์ตะบันน้ำมาทดลองใช้ 1 เครื่อง เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ได้มีการเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย พบว่าการใช้เครื่องตะบันน้ำช่วยให้ประหยัดเงินได้เดือนละ 12,000-15,000 บาท ซึ่งมาจากค่าน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ และพบว่าการใช้ตะบันน้ำทำให้ไม่มีช่วงที่ขาดแคลนน้ำเลย เพราะสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เส้นทางของน้ำ จากต้นน้ำพื้นที่ต่ำ ขึ้นสู่พื้นที่สูงเพื่อการอุปโภค และเกษตรกรรมเชิงนิเวศของชุมชน
“ภายใต้การสนับสนุนของโครงการพลิกไทย เริ่มต้น ในเขตลุ่มน้ำเราทำ 50 ตัว มี 20 คนได้รับ เป็นทั้งชาวบ้าน และหน่วยงานท้องถิ่น ทำให้ช่างชุมชนของเรายกระดับการทำเครื่องตะบันน้ำมากขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนวัสดุ การใช้วัสดุที่มีความคงทนถาวร หาได้ในท้องถิ่น ได้ทดลอง ทดสอบประสิทธิภาพโดยทดลองกับชาวบ้าน ซึ่งก็ใช้ได้ผล เมื่อได้ผลแล้วก็อยากขยายผลต่อ โครงการพลิกไทยก็สนับสนุนให้ชุมชนได้เข้าถึงการบริหารจัดการน้ำ โดยสนับสนุนงบประมาณให้ชุมชนมาพัฒนาเครื่องตะบันน้ำต่อ ลงทุนครั้งเดียวคือ 5 พันบาทต่อ 1 เครื่อง ขณะเดียวกันชุมชนก็รวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชนโดยทีมช่างชุมชน ซึ่งสมาคมฯมีออร์เดอร์ผลิตตะบันน้ำขาย จะช่วยให้เกิดรายได้กับชุมชนในอนาคต เบื้องต้นเราอยากให้พี่น้องในเขตต้นน้ำ เข้าถึงน้ำได้ นี่คือวัตถุประสงค์หลักของโครงการ”
ภายใต้การสนับสนุนจากการระดมทุนของโครงการพลิกไทย ส่งผลให้ช่างชุมชนทำเครื่องซูเปอร์ตะบันน้ำได้ง่ายขึ้น

จีระศักดิ์ ขยายความต่อว่า คนในชุมชนให้การตอบรับเครื่องนี้ดีมาก และพี่น้องชุมชนบางคนได้สมทบทุนในการทำ และบางชุมชนก็ให้สมาคมฯ ไปช่วยทำเรื่องตะบันน้ำ ซึ่งเรื่องตะบันน้ำ เป็นกระแสที่พี่น้องอยากจัดการน้ำมาก โดยทางสมาคมฯเอง คิดอยากทำให้พี่น้องในชุมชนมีเครื่องที่ 3 ที่ 4 ที่5 ที่ 6 ใช้ และส่งต่อให้พี่น้องนอกชุมชน ซึ่งไม่ได้วางเป้าทางธุรกิจ แต่วางเป้าหมายทางสังคม

“แนวโน้มการจำหน่าย เราไม่ได้วางเป้าทางธุรกิจ แต่เราวางเป้าหมายทางสังคม เพราะเราเห็นว่า พี่น้องหลายส่วนยังไม่มีเครื่องตะบันน้ำใช้ ทำอย่างไรให้ได้ใช้กัน เพราะฉะนั้นในชุมชนคิดเรื่องการส่งต่อในลักษณะของวิสาหกิจ เราไม่ได้คิดเรื่องกำไรที่เป็นเม็ดเงิน แต่เราคิดเรื่องส่งต่อกับพี่น้องคนอื่นๆ ที่อยู่นอกชุมชนที่ประสบปัญหาทางธรรมชาติเช่นที่นี่ต่อไป”

เมื่อน้ำมา ไอเดียบรรเจิดในการทำเกษตรเชิงนิเวศ

อุดม อุทะเสน อดีตเกษตรกรในระบบเกษตรพันธะสัญญา ยอมรับว่า เมื่อได้รู้จักสมาคมฯ ใช้ “ซูเปอร์ตะบันน้ำ” เมื่อมีน้ำมากขึ้น จึงเปลี่ยนมาปลูกกล้วยน้ำว้า มะขาม และพืชผลไม้ยืนต้นแทน แม้ว่ารายได้ไม่สูงมากแต่ก็มีรายได้ตลอดปี มีพ่อค้ามารับซื้อในหมู่บ้าน สามารถส่งลูกเรียนหนังสือได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ส่วนสภาพดินและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่โดยรวม ค่อยๆ ดีขึ้น มีพื้นที่สีเขียวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนมาปลูกกล้วย และมะขามตามมากขึ้น

เพราะดีแทคเชื่อมั่นในพลังของคนไทยทุกคน ที่ต้องการเห็นสังคมไทยที่ดีขึ้น จึงได้ริเริ่มโครงการ “พลิกไทย” เพื่อเชิญชวนให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีไอเดียในการแก้ไขปัญหาและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ประเทศไทยอย่างยั่งยืน “ซูเปอร์ตะบันน้ำ” เป็น 1 ใน 10 แนวคิด ที่สามารถปฏิบัติได้จริง และสร้างประโยชน์แก่สมาชิกส่วนใหญ่ในชุมชน ทั้งในระยะสั้น และระยะยาวในเชิงเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม จึงเป็น 1 ใน 10 โครงการที่ได้รับการต่อยอดสนับสนุนจากดีแทค

การใช้ซูเปอร์ตะบันน้ำ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 0.532 กิโลคาร์บอน/วัน การใช้เครื่องตะบันน้ำในพื้นที่ 20 เครื่องเป็นเวลา 1 เดือนจะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 319 กิโลคาร์บอน เท่ากับการปลูกต้นไม้ใหญ่ประมาณ 32 ต้น