GC รุก Biorefinery ครบวงจร ต่อยอดเคมีชีวภาพสู่ธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ

29 เมษายน 2568…บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เดินหน้า Biorefinery ครบวงจร ต่อยอดผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพ ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ

29 เมษายน 2568…บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เดินหน้าขยายโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) ต่อยอดจากความสำเร็จในผลิต SAF รายแรกของไทย สู่การพัฒนา เคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพมูลค่าสูง รองรับตลาดโลกที่ต้องการวัสดุทางเลือกเพื่อความยั่งยืน เสริมความแข็งแกร่งอุตสาหกรรมชีวภาพไทย และเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันระดับสากล ภายใต้กลยุทธ์ ธุรกิจมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ (High Value & Low Carbon Business)

นอกจากการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ที่มีกำลังการผลิตในเฟสแรก 6 ล้านลิตรต่อปีแล้ว GC ยังต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านการกลั่นและเคมีภัณฑ์ขั้นสูง โดยการพัฒนากระบวนการ Co-processing ที่สามารถใช้งานร่วมกับหน่วยกลั่นเดิมได้ นำน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Bio-Chemicals) และพลาสติกชีวภาพ (Bio-Polymers) มูลค่าสูง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการใช้วัสดุทางเลือกที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ GC ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ Bio-Propylene สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ พลาสติกแข็ง ของเล่นเด็ก และชิ้นส่วนยานยนต์ Bio-BD (Bio-Butadiene) ใช้ในยางรถยนต์และรองเท้ากีฬา และ Bio-PTA (Bio-Purified Terephthalic Acid) สำหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET โดยขณะนี้มีตลาดปลายทางในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมยาง และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ตามลำดับ นอกจากนี้ GC ยังมีแผนต่อยอด Bio-Naphtha ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตเคมีภัณฑ์และพลาสติก Bio-PE (Bio-Polyethylene) สำหรับผลิตถุงพลาสติก ฟิล์ม และบรรจุภัณฑ์อาหาร และ Bio-MEG (Bio-Monoethylene Glycol) สำหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET ในอนาคตอีกด้วย

 

 

อีกทั้งโรงกลั่นชีวภาพของ GC มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรและของเสียในประเทศ โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณสมบัติเทียบเท่าวัสดุจากฟอสซิล แต่ปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญช่วยลดปัญหาของเสีย เพิ่มรายได้ให้กับชุมชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับเป้าหมายของ GC ในการเป็นผู้นำธุรกิจคาร์บอนต่ำที่เติบโตอย่างยั่งยืน

ทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ GC กล่าวว่า GC ไม่เพียงเป็นผู้ผลิต SAF รายแรกของประเทศ

“เรายังเดินหน้าต่อยอดศักยภาพของ Biorefinery เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพที่สามารถทดแทนวัตถุดิบจากฟอสซิล ตอบโจทย์ทั้งตลาด ความยั่งยืน และอนาคตของอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างน้ำมันพืชใช้แล้วในการผลิตสินค้ามูลค่าสูง สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่ประเทศไทยผลักดัน และเดินหน้าตามกลยุทธ์ขยายธุรกิจมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำของ GC”

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ชีวภาพของ GC ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลด้านความยั่งยืนอย่าง ISCC PLUS (International Sustainability and Carbon Certification Plus) ซึ่งมุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบชีวภาพและวัสดุหมุนเวียนในกระบวนการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ ช่วยให้แบรนด์ผู้ผลิตสินค้าปลายทางสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมั่นใจ

GC ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งมอบโซลูชันเคมีภัณฑ์ครบวงจรที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด ตอกย้ำบทบาทของบริษัท ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง