30 กันยายน 2567…“บาร์บีคิวพลาซ่า” กับแนวคิด “ทำมื้อนี้ให้ดีที่สุด” วันนี้เดินทางไปอีกขั้นสู่การส่งมอบ “ความยั่งยืนผ่านมื้ออาหาร” ผ่านโมเดล Green Restaurant ซึ่งไม่เพียงแต่เสิร์ฟมื้ออาหารทีดี่ที่สุดให้ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังวางเป้าหมายที่จะลดผลกระทบให้กับโลก รวมถึงเพิ่มความสุขให้กับสังคมด้วย
การเดินทางวันนี้ บาร์บีคิวพลาซ่า ปรับโมเดล Green Restaurant ไปแล้ว 11 สาขา จากทั้งหมด 150 สาขาได้แก่ เซ็นทรัล วิลเลจ, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัล รามอินทรา, เซ็นทรัล บางนา ชั้น 3 , เซ็นทรัล บางนา ชั้น 6 ,เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล พระราม 3, เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล พระราม 2, เซ็นทรัล พระราม 9 และเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ โดยทุกสาขาที่กล่าวมาทั้งหมด ได้รับตราสัญลักษณ์ G-Green ในประเภทการบริหารร้านอาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Restaurant) จากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2567 โดยเซ็นทรัล วิลเลจได้รับตราสัญลักษณ์นี้ในปี 2023 เนื่องจากเป็นสาขาแรก ส่วนที่เหลือได้รับในปี 2024
คุณจรูญโรจน์ เทพที ประธานบริหารสายงาน-ซัพพลายเชน บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เริ่มดำเนินการปรับโมเดล Green Restaurant ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เป็นไปตามแนวคิดแห่งความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจด้วย Triple Bottom Line ที่มุ่งเน้น People, Planet และ Profit เพื่อสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050
“เราเชื่อว่าถ้าธุรกิจทำกำไรได้แต่ไม่ยั่งยืน ในระยะยาวย่อมไม่สามารถอยู่รอดได้ เราจึงมีความมุ่งมั่นใน Triple Bottom Line”
– People: เน้นความสุขของ “คน” เป็นหัวใจในการบริหารธุรกิจ เพราะเราเชื่อว่าองค์กรจะเติบโตได้จากความสุขของพนักงาน เราใช้กลยุทธ์ “เก่ง ดี สุข” ภายใต้วัฒนธรรมองค์กร ACTIVE เพื่อสร้างสรรค์วงจรแห่งความสุขที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาศักยภาพ ความสามารถ และทักษะของบุคลากร รวมถึงการสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา โดยที่ผ่านมาเราได้เปิด ศูนย์การเรียนรู้ฟู้ดแพชชั่น สำหรับนักเรียนระดับ ปวช. และเปิด ศูนย์อบรมฟู้ดแพชชั่น เพื่อนำประสบการณ์จากบาร์บีคิวพลาซ่ามาเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร
– Planet มุ่งเน้นลดก๊าซเรือนกระจกตลอดซัพพลายเชน ด้วยแนวคิด From Farm to Table เริ่มจาก Cabbage Farm หรือฟาร์มกะหล่ำปลีเพราะเป็นวัตถุดิบที่ร้านใช้มากถึง 2 ตันต่อปี เรียกได้ว่าไม่มีร้านอาหารในไทยเจ้าไหนใช้กะหล่ำปลีมากเท่าบาร์บีคิวพลาซ่าอีกแล้ว
“ต้องบอกว่าเส้นทาง From Cabbage Farm to Table เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เดิมทีซื้อวัตถุดิบจากพ่อค้าคนกลาง แต่เมื่อ 7 ปีก่อน บริษัทฯ เริ่มทำงานโดยตรงกับเกษตรกร โดยทีมงานเดินทางไปหาเกษตรกรบนดอยต่างๆ เพื่อรับฟังปัญหาแล้วพบว่า พวกเขามีหน้าที่ปลูกอย่างเดียวแต่ไม่มีอำนาจในการกำหนดราคา จึงถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง จากนั้นมาจึงจับมือเกษตรกรด้วยการประกันราคา รวมถึงวางแผนปริมาณเพาะปลูกที่เหมาะสม ไม่ให้มากเกินความต้องการ ซึ่งนอกจากจะช่วยเกษตรกรมีต้นทุนในการปลูกที่ดี แล้วยังลดการสูญเสียทรัพยากร (Waste) อีกด้วย บริษัทฯ เน้นให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกตามมาตรฐาน GAP ตามหลักกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ลดการใช้ปุ๋ยเคมีถึง 50% สร้างความแข็งแกร่งให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันในรูปแบบวิสาหกิจชุมชนเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง จนปัจจุบันมี 3 แห่งด้วยกัน ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนใน อ.พบพระ จ.ตาก , อ.นาป่าแปก จ.แม่ฮ่องสอน และ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ที่สำคัญเข้าไปสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กในชุมชนเกษตรกร ที่บาร์บีคิวพลาซ่าได้เข้าไปร่วมทำงานด้วย ผ่านศูนย์การรเรียนรู้ฟู้ดแพชชั่นโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแถมยังสามารถเทียบเป็นวุฒิการศึกษา และได้รับค่าจ้างรายเดือนด้วย”
จากฟาร์มมาสู่โต๊ะอาหารที่ร้าน ใช้คอนเซ็ปต์การทำงาน Small but meaningful เริ่มจากเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคกะหล่ำปลีฝอย โดยออกแบบในการเสิร์ฟกะหล่ำปลีให้กับลูกค้า แบบ 125 / 80 / 80 กรัม ช่วยลดปริมาณกะหล่ำเหลือทิ้งได้ถึง 10% คิดเป็น 200,000 กิโลกรัม หรือเท่ากับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 82tCO2e
ในขณะเดียวกันทางร้านปรับกระบวนการทำงานภายในร้าน เพื่อจัดการขยะด้วยแนวทาง Zero Waste to Landfill เพื่อลดปริมาณขยะที่ถูกฝังกลบ โดยนำเศษเนื้อตัดแต่ง (Food Loss) มาทำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่มคุณค่า เช่น หมูปิ้งเสียบไม้ป้อนให้กับบางจากเพื่อนำไปจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมันต่อไป ซึ่งกระบวนการนี้ลดการนำเศษเนื้อตัดแต่งไปทิ้งได้ถึง 1.8 ตัน หรือคิดเป็น 918kgCO2e
“ระบบแยกขยะจากโต๊ะอาหารลูกค้าด้วยม้าเหล็กช่วยแยกประเภท Food Waste และ Recycle Waste พร้อมชั่งน้ำหนัก จดบันทึก ที่ได้ทำงานร่วมกับ Landlord ในการจัดการขยะปลายทางไม่ฝังกลบอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีปริมาณขยะอาหารอยู่ที่ 30 กิโลกรัมต่อวันต่อสาขา แบ่งเป็นจากร้าน 30% และลูกค้า 70% รวมเป็น 930tCO2e ต่อปี โดยปลายทางของ Food Waste จะถูก กทม. และเทศบาล นำไปทำปุ๋ย ขณะที่ขยะรีไซเคิลอยู่ที่ 3 กิโลกรัมต่อวันต่อสาขา รวมเป็น 533 tCO2e ต่อปี จะถูกนำไปรีไซเคิลต่อไป ด้านการจัดการพลังงานทางร้านมีการปรับเวลาปิดเปิดไฟลดลงวันละ 1 ชั่วโมง ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.4 tCO2e ต่อปี และปิดเตาทันทีที่หลังลูกค้ารับประทานอาหารเสร็จแล้ว ช่วยลดอีก 246 tCO2e ต่อปี นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีประหยัดไฟอย่าง IoT มาติดตั้งในตู้แช่แข็ง และใช้น้ำยาทำความสะอาด Bio-Degradable ลดการใช้น้ำลง 50% สำหรับร้านที่กำลังรีโนเวท หรือสาขาใหม่ จะนำวัสดุเหลือใช้มา Upcycling เช่น เปลือกมะนาว ใยสัปปะรด กากมะพร้าว มาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ภายในร้าน บาร์บีคิวพลาซ่า ยังจับมือกับบริษัทในเครือ ปตท. นำถาดพลาสติกมา Upcycling เป็นท๊อปโต๊ะ เป็นต้น”
ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทยัง มุ่งสร้าง Sustainable supply chain โดยมีนโยบายจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) โดยจูงใจให้ซัพพลายเออร์ที่มีการจัดการ Carbon Footprint ได้รับคะแนนพิเศษ ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดซื้อที่มากขึ้น เป็นการร่วมมือกันเพื่อสร้างความยั่งยืน
“ตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มต้นทำ Green Restaurant โดยเริ่มที่เซ็นทรัล วิลเลจเป็นสาขาแรก เราใช้เวลาเพียง 4 เดือนก็ได้รับตราสัญลักษณ์ G-Green ระดับดีเยี่ยม เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความตั้งใจจริงและความพยายามของทุกคนในองค์กร” ที่สำคัญคือ บาร์บีคิวพลาซ่าทุกสาขาได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP โดยประยุกต์วิธีการจัดการตามมาตรฐานโรงงานมาอยู่ในร้านอาหาร เลยทำให้เวลาทำ Green Restaurant เราสามารถทำได้เลย เพราะเราตรวจสอบจาก Third Party และจากของเราเองด้วย”
-Profit มุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ทุก Stake holder ด้วยนวัตกรรมต่างๆ เช่น ระบบใหม่ “GON ORDER-TO-PAY” สั่ง-จ่าย-จบ ทำเองได้ในมือถือ ที่สร้างสรรค์ ลดการใช้กระดาษ
คุณจรูญโรจน์ กล่าวเพิ่มว่า นอกจากนี้ 3P ที่กล่าวมาแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญอีก 2P ประกอบด้วย P-Peaceful ซึ่งหมายถึงการดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรม และ P-Partner โดยมีพันธมิตรหลายองค์กร เช่น เซ็นทรัลพัฒนา กทม. เทศบาลเมืองต่างๆ Landlord ปตท. และบ้านปู เข้ามาเป็นพันธมิตรมาร่วมกันทำงานด้านความยั่งยืน พร้อมเรียนรู้และทำงานไปด้วยกัน
สุดท้ายนี้ได้วางเป้าขยายโมเดล Green Restaurant ในปีหน้าอีก 11 สาขา และครบทั้ง 150 สาขาภายในปี 2030