NEXT GEN

ผลกระทบในอนาคตต่อสิ่งแวดล้อมของ Metaverse


15-16 มกราคม 2565…Metaverse ดูเหมือนจะเข้าถึงทุกมุมในชีวิตมนุษยชาติ ทั้ง Apple, Disney, Nvidia, Microsoft และ Meta (เดิมคือ Facebook) ต่างก็แสดงเจตจำนงที่จะมีส่วนร่วม แต่ค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมจากปริมาณงาน AI ที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ Metaverse จะมีปริมาณใหญ่มาก อย่างไรก็ตาม นวัsตกรรมทางเทคโนโลยีล่าสุดในศูนย์ข้อมูลจะช่วยได้ นอกจากนี้ Metaverse อาจชดเชยการปล่อยมลพิษโดยเปลี่ยนวิธีที่เราโต้ตอบกัน

Metaverse และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

Metaverse เป็นโลกเสมือนจริงที่ผู้ใช้สามารถแบ่งปันประสบการณ์และโต้ตอบในแบบเรียลไทม์ภายในสถานการณ์จำลอง Microsoft อธิบายว่าเป็น “เวอร์ชันใหม่หรือวิสัยทัศน์ใหม่ของอินเทอร์เน็ต” ปริมาณ ความหลากหลาย และความเร็วของข้อมูลที่ผู้ใช้สร้างขึ้นจะต้องใช้แอปพลิเคชัน AI เพื่อการวิเคราะห์ Metaverse มีแนวโน้มที่จะใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ซึ่งใช้เทคโนโลยี AI อยู่แล้ว เช่น Deep Neural Network สำหรับการติดตามโดยใช้มือที่แม่นยำ และ Deep Learning สำหรับการติดตามโดยใช้ดวงตา

การประมวลผลของศูนย์ข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้ AI ที่มีปริมาณงานสูง มีค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ทำการประเมิน Lifecycle สำหรับการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ทั่วไปหลายตัว และพบว่า…

การฝึกโมเดล AI ตัวเดียวสามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าได้มากถึง 626,000 ปอนด์ นั่นคือเกือบห้าเท่าของการปล่อยมลพิษเฉลี่ยตลอดอายุการใช้งานของรถยนต์อเมริกัน

บริการคลาวด์มีความสำคัญต่อ VR และในทางกลับกันก็จะมีความสำคัญต่อ Metaverse ด้วย ตามรายงานของนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์ในปี 2020

สถานการณ์ที่ 30% ของคนเล่นเกมย้ายไปใช้แพลตฟอร์มเกมบนคลาวด์ภายในปี 2030 จะนำไปสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับการเล่นเกมในปัจจุบัน Metaverse ยังต้องการภาพที่มีความละเอียดสูงมาก ซึ่งจะเพิ่มการใช้พลังงานมากขึ้นไปอีก

นวัตกรรมทางเทคโนโลยีล่าสุด

ในปีที่ผ่านมามีนวัตกรรมหลายอย่างที่จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลยั่งยืนมากขึ้น และจะมีมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เนื่องจากแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนถูกกำหนดให้กลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคตของ Metaverse จะน้อยกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ยกตัวอย่าง Microsoft ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดของการให้ศูนย์ข้อมูลเอนกประสงค์ในสหรัฐอเมริกาในปี 2020 มุ่งมั่นที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% สำหรับแพลตฟอร์ม Azure cloud ภายในปี 2025  ลดการใช้น้ำให้ได้มากกว่าจำนวนที่ใช้ภายในปี 2030 และตั้งเป้า Zero Waste ภายในปี 2030

ยิ่งกว่านั้น OpenUK ซึ่งเป็นกลุ่มสนับสนุนการใช้โอเพ่นซอร์ซในสหราชอาณาจักร ได้แถลงถึงการใช้กรอบงานที่ชื่อ Patchwork Kilt ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ COP26 ประกาศให้ใช้ เพื่อช่วยเพิ่มความยั่งยืนของศูนย์ข้อมูล ซึ่งรวมถึงการแปลงอาคารที่ถูกทิ้งร้างให้เป็นศูนย์ข้อมูลชั้นสูงที่เชื่อมต่อกับ 5G และสนับสนุนการใช้ฮาร์ดแวร์ซ้ำ

ที่มา

You Might Also Like