NEXT GEN

เรียนรู้ Key Solution จากฟินแลนด์โมเดล ต้นแบบพัฒนาในฐานะ Green Country

17 กันยายน 2562…สู่การออกแบบธุรกิจแบบยั่งยืนเพื่อโลกอนาคต ในงาน Global Business Dialogue 2019 เพราะโลกนี้มีเพียงใบเดียว วิกฤตความยั่งยืนจึงกลายเป็นประเด็นที่คนทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ

ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องหันมาตระหนัก ใส่ใจ และลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับโลกใบนี้ เช่นเดียวกันในส่วนขององค์กรธุรกิจย่อมต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวควบคู่ไปกับการบริหารจัดการธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และชีวิตความเป็นอยู่รอบด้าน

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทย จัดงานสัมมนา Global Business Dialogue 2019 ภายใต้หัวข้อ Designing New Growth model Towards Sustainability เพื่อเป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับโมเดลการพัฒนาสู่ความยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จจากองค์กรชั้นนำระดับโลก ซึ่งนอกจากจะทำให้ธุรกิจมีส่วนช่วยเกื้อหนุนระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติแล้ว ยังเอื้อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย

แน่นอนว่าเมื่อเราพูดถึงต้นแบบของการพัฒนาสู่ความยั่งยืน ทุกคนย่อมนึกถึงสาธารณรัฐฟินแลนด์ ในฐานะประเทศที่มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจพร้อมไปกับการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ จนได้ชื่อว่าเป็น Green Country

ฯพณฯ ซาตู ซุยก์การี-เคลฟเวน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อแก้ไขวิกฤตความยั่งยืนซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไป อันกระทบไปถึงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นนั้น สาธารณรัฐฟินแลนด์จึงเร่งรัด และผลักดันให้วิกฤตความยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อไต่ระดับให้ฟินแลนด์เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับวิกฤตความยั่งยืนอันดับหนึ่งของโลก และเป็น Green Country ในที่สุด

“วันนี้ทุกคนต้องตระหนักถึงวิกฤตความยั่งยืนให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ลองคิดดูว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสจะสร้างผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และสิ่งแวดล้อมมากขนาดไหน แน่นอนว่ามันย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตคนหลายพันล้านคนบนโลกใบนี้ด้วย”

อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจึงถือได้ว่าเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งที่ทำให้โลกเกิดวิกฤตความยั่งยืน จากข้อมูลพบว่าพื้นที่บริเวณแถบอาร์กติกที่สูงขึ้น ส่งผลให้ 4 ปีที่ผ่านมาปะการังตายเป็นจำนวนมาก รวมถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆ กำลังเผชิญกับสัญญาณอันตราย

“ดิฉันเชื่อว่ามนุษย์สามารถสร้างความแข็งแกร่งในการรวมพลังหาทางป้องกันกับวิกฤตครั้งนี้ได้ แต่เรามีเวลาไม่มากพอ ดังนั้นจึงถือเป็นความเร่งด่วนที่ทำให้เกิดการประชุมสุดยอดของสหประชาชาติในเร็วๆ นี้ เพื่อผลักดันให้ทุกประเทศในภาคีจัดทำเป้าหมายความยั่งยืนในด้านสภาพภูมิอากาศ”

ในเรื่องดังกล่าว สาธารณรัฐฟินแลนด์มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก จนถือได้ว่าเป็นประเทศต้นแบบที่ดำเนินการจัดการกับวิกฤตโลกร้อนอย่างจริงจัง โดยออกนโยบายผ่าน Climate Reality Project เพื่อแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศโดยตรง วางเป้าหมายอย่างท้าทายว่าภายในปี 2035 จะเป็นประเทศที่ปล่อยค่าคาร์บอนที่เป็นกลาง (Carbon Neutrality) หรือปลอดคาร์บอน โดยได้เชิญพันธมิตรในหลายภาคส่วนมาร่วมจัดทำมาตรการผ่านภาคประชาสังคม ทั้งยังวางเป้าหมายเป็นสังคมสวัสดิการที่ไม่มีฟอสซิล ภายในปี 2035 กระตุ้นให้ภาคเอกชนหันมาลงทุนสร้างนวัตกรมเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยรัฐบาลจะสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจผ่านมาตรการทางภาษี เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับ Carbon Sink and Stock ลดการทำลายป่าไม้สร้างแรงจูงใจด้านการดูดซับคาร์บอนจากป่าไม้ ลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการก่อสร้างและภาคครัวเรือน รวมถึงเพิ่มบทบาทการเป็นประเทศผู้นำเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

การวางโรดแมปแก้วิกฤตความยั่งยืนดังกล่าว ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่ง Sitra และ St1 Nirdic Oy จากฟินแลนด์ก็เป็นองค์กรเอกชนชั้นนำของโลกที่มีบทบาทสำคัญในการนำโมเดลการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) มาสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

Mr. Ernesto Hartikainen, Leading Specialist, Sitra, Finland กล่าวว่า Sitra เป็นกองทุนนวัตกรรมฟินแลนด์ ซึ่งเป็นกองทุนอิสระ โดยมีภารกิจในการเข้าไปสนับสนุนและลงทุนในโครงการ และธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับโลก และส่งเสริมการพัฒนาที่มั่นคงและเกิดสมดุลในประเทศให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ และยังเป็นกองทุนที่มีบทบาทในการวางโรดแมปเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นวาระของชาติของฟินแลนด์

“เศรษฐกิจหมุนเวียนจะเป็นโมเดลของการทำธุรกิจในอนาคต เพราะนอกจากจะดีต่อสภาพแวดล้อมแล้ว ยังส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศ พิสูจน์ได้จากตัวเลขของบริษัทต่างๆ ที่ดำเนินธุรกิจแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมีส่วนสร้างดัชนีทางเศรษฐกิจในฟินแลนด์ได้มากถึง 2.5 พันล้านยูโร”

(ซ้าย) Mr. Ernesto , Mr. Patrick

ทั้งนี้ Mr. Ernesto Hartikainen ยังได้ให้แนวคิดการทำเศรษฐกิจหมุนเวียนว่า จะต้องเริ่มจากการสร้างความตระหนักรู้ถึงประโยชน์ของเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เข้ามาช่วยยืดวงจรของสินค้าให้มีความยาวนานมากขึ้น และเข้าไปเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคที่ทำให้เกิดความยั่งยืน ดังนั้นองค์กรควรออกแบบสินค้าและบริการของตัวเองในแบบใหม่ เช่น แทนที่จะผลิตสินค้าแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ก็หันมาใช้วัตถุดิบรีไซเคิล หรือขยะชีวภาพ และใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีในการจำหน่ายสินค้า เป็นต้น ในขณะที่องค์กรในภาคธุรกิจบริการอาจนำเสนอโมเดล Sharing Economy ให้กับลูกค้าได้จ่ายตามการใช้งาน ซึ่งวันนี้เริ่มถูกนำไปใช้แล้วในธุรกิจเช่ารถยนต์

“ปัจจุบันสินค้าที่เกิดจากเศรษฐกิจหมุนเวียนยังไม่ได้รับการตอบรับจากตลาดมากนัก เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่า แต่อย่าลืมว่าสินค้าที่ขายอยู่ตามท้องตลาดในวันนี้เป็นราคาที่ถูกเกินไป เพราะยังไม่ได้รวมค่ากำจัดขยะ ฉะนั้นทุกคนจะต้องมาร่วมกันคิดแล้วว่าเราจะทำอย่างไร ในการคำนวณต้นทุนเหล่านั้นลงไปในราคาสินค้าด้วย ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลา เพราะเรากำลังอยู่ในยุคการเปลี่ยนผ่าน”

Mr.Patrick Pitkänen, Director of Biorefining Business Development and Production, St1 Nordic Oy กล่าวว่า St1 เป็นบริษัทพลังงานที่เน้นพัฒนาพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอน หรือลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน ปัจจุบันมีสถานีบริการน้ำมันเชลล์กว่า 1,300 แห่งกลุ่มประเทศนอร์ดิก และในอนาคตมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการขายและผู้ผลิตพลังงานที่ใส่ใจในก๊าซคาร์บอน

“จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นย่อมต้องใช้พลังงานมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ถือเป็นความท้าทายของธุรกิจพลังงาน ในฐานะธุรกิจที่มีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้นจากการใช้พลังงานฟอสซิล แต่ St1 กำลังท้าทายการทำธุรกิจแบบเดิมๆ โดยหันมาพัฒนาพลังงานหมุนเวียนโดยปราศจากฟอสซิล หรือใช้ให้น้อยที่สุด ที่ผ่านมาเราเป็นผู้แนะนำพลังงานหมุนเวียนออกสู่ตลาดโลก อาทิ พลังงานชีวภาพ พลังงานลม พลังงานจากขยะ และพลังงานความร้อนจากพื้นพิภพ เพื่อลดปริมาณการกลั่นน้ำมันจากพลังงานฟอสซิลลงเรื่อยๆ”

Mr. Patrick Pitkänen ให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงขององค์กรเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องมีปัจจัยหลายอย่างเป็นองค์ประกอบ นั่นคือ การวางกรอบการทำงานว่าผลกระทบทางสังคมที่เกิดจากธุรกิจคืออะไร เพื่อนำไปสร้างนโยบายผลักดันในระยะยาวผสานเข้าไปในกระบวนการทำงาน (Process) ไม่ใช่ทำเป็นโครงการเฉพาะกิจ (Project) อย่าง St1 มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเป็นสิบปีในการพัฒนาพลังงานทางเลือกใหม่ๆ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในการสร้างนวัตกรรม

“รัฐบาลจะต้องเข้ามามีบทบาททั้งในแง่ของการให้แรงจูงใจ และบทลงโทษแก่ภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น รัฐบาลฟินแลนด์ออกมาตรการลดภาษีให้กับบริษัทที่ใช้พลังงานลม ซึ่งส่งผลให้ St1 ตัดสินใจลงทุนสร้างฟาร์มกังหันลม (Wind Park) ทางตอนเหนือของนอร์เวย์เมื่อ 2 ปีก่อน นอกจากนี้ชุมชนในท้องถิ่นยังเป็นพันธมิตรสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่ง St1 ใช้กลยุทธ์ Think Global, Act Local โดยนำขยะจากชุมชนใกล้ๆ โรงงานมาใช้เป็นพลังงาน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว”

จะเห็นได้ว่าฟินแลนด์โมเดลทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นแนวทางที่ทำให้องค์กรต่างๆ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสร้างโอกาสการเติบโตให้กับธุรกิจบนโลกอนาคต ท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับสภาพสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

 

 

You Might Also Like