ตุลาคม 8 ,2025…ESG Symposium 2025 เวทีตอกย้ำว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่คาร์บอนต่ำ” ทางรอดและโอกาสใหม่ ที่ต้องแข่งขันได้ เข้าถึงง่าย และขับเคลื่อนได้
ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และ ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย ได้กล่าวถึง 3 วาระใหญ่ พลังงาน–SMEs–Climate Adaptation
ธรรมศักดิ์ เผยถึง ESG Symposium เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘GREEN BREAKTHROUGH AMID THE PERFECT STORM – เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ เพื่อร่วมออกแบบและขับเคลื่อนนโยบายและโครงการที่ทำให้ประเทศไทยแข่งขันได้และยั่งยืน โดยมีการทำงานกับหลายภาคส่วนกว่า 300 คน ทั้งจากภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤติสภาพภูมิอากาศ และภาวะเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้า จึงต้องเร่งวางกรอบกลยุทธ์ที่ “แข่งขันได้ เข้าถึงง่าย และขับเคลื่อนได้จริง” เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก พร้อมสร้างรากฐานอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้
1.ปลดล็อก ปรับโครงสร้าง วางระบบพลังงานเสรีครบวงจร เร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน
2.SMEs สู่ความยั่งยืนและแข่งขันได้จริง
3.เร่งเตรียมความพร้อมปรับตัวรับมือโลกรวน ด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือ
ดร.อารีพร เริ่มต้นด้วยปลดล็อก ปรับโครงสร้าง วางระบบพลังงานเสรีครบวงจร เร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน พลังงานเสรีอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าด้วยมาตรฐาน TPA Code และการส่งเสริมสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) พร้อมปรับโครงสร้างระบบพลังงานให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในต้นทุนที่เหมาะสม เพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า สำหรับรับมือกับความผันผวนในระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ
Energy Transition จุดเปลี่ยนของระบบพลังงานไทย
แม้ประเทศไทยจะประกาศเป้าหมายสู่ Net Zero ในปี 2065 แต่สถานการณ์ปัจจุบันยังสะท้อน “ช่องว่างของการเปลี่ยนผ่าน” อย่างชัดเจน ดัชนีการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ขณะที่สัดส่วนไฟฟ้าพลังงานสะอาดยังอยู่เพียง 10–15% ทำให้ประเทศต้องพึ่งพาการนำเข้า LNG ในสัดส่วนสูง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่าไฟฟ้าที่พุ่งสูงและความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขาดทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เช่น Smart Grid และระบบกักเก็บพลังงาน รวมถึงบุคลากรที่มีทักษะด้านพลังงานสีเขียว ขณะเดียวกัน ร่างแผน PDP 2024 ที่ตั้งเป้าใช้พลังงานสะอาด 51% ภายในปี 2037 ยังถือว่าช้ากว่าจังหวะของภูมิภาค และไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของหลายประเทศเพื่อนบ้านที่ตั้งไว้ในปี 2050
ความต้องการเร่งด่วนของภาคเศรษฐกิจ
ภาคส่งออกและองค์กรระดับโลกในกลุ่ม RE100 ต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2030 ซึ่งคิดเป็นกว่า 40% ของความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมของประเทศ การขาดแคลนพลังงานสะอาดอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และต้องรับภาระจากมาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของยุโรปและประเทศคู่ค้า การเร่งผลิตพลังงานสะอาดในประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะผ่านการส่งเสริมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน หรือการเปิดทางสู่พลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ในอนาคต
การเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี (Third Party Access – TPA) กุญแจของการเปลี่ยนผ่าน
ข้อเสนอหลักจากเวที ESG และงานวิจัยของ TDRI ร่วมกับเอสซีจี คือ การผลักดันนโยบาย TPA หรือ Third Party Access เพื่อเปิดให้ภาคเอกชนสามารถเชื่อมต่อและซื้อขายไฟฟ้ากับโครงข่ายของรัฐโดยตรง แนวทางนี้จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดผู้ผลิตพลังงานสะอาดรายใหม่ และช่วยลดต้นทุนไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ปลายทาง
หากไม่เปิด TPA ผลกระทบจะเกิดขึ้นเป็นลูกโซ่: ทางเศรษฐกิจ ต้นทุนการผลิตจะเพิ่มสูง ภาคส่งออกต้องรับภาระภาษีคาร์บอน และการลงทุนจากต่างประเทศจะชะลอตัว ส่งผลให้ไทยเสี่ยงสูญเสียตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลก ในมุมสังคม ตำแหน่งงานสีเขียวจะเติบโตช้า ขณะที่งานสีน้ำตาลหดตัว เพิ่มความเหลื่อมล้ำของรายได้ และในมุมสิ่งแวดล้อม การขาดพลังงานสะอาดอาจทำให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่อย่าง Data Center ยังต้องพึ่งพาพลังงานฟอสซิลต่อไป
ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ จาก TDRI และเอสซีจี
-ระยะสั้น: เร่งปรับโครงสร้างราคาค่าไฟให้สะท้อนต้นทุนจริง และเปิดสิทธิ์ TPA อย่างเป็นธรรม พร้อมสร้าง “ช่องทางด่วนสีเขียว” สำหรับโครงการลดก๊าซเรือนกระจก และยกเลิกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรค เช่น โมเดล SCG Sandbox
-ระยะกลาง: จัดทำแผนพลังงานชาติแบบบูรณาการ ที่สนับสนุนทั้งขีดความสามารถทางการค้าและการลงทุนสีเขียว
-ระยะยาว: วางนโยบายพลังงานให้สอดคล้องกับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผน NDC 3.0 ของประเทศ
ขั้นตอนการเปิด TPA จะดำเนินเป็นเฟส
เฟส 1 (ภายในปี 2030): เปิดให้ภาคส่งออกและภาคการผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งใช้ไฟ 40% ของประเทศ สามารถซื้อไฟสะอาดได้โดยตรง
เฟส 2 (ภายในปี 2035): ขยายสู่ภาคอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อบรรลุเป้าหมาย 51% ตาม PDP 2024
เฟส 3 (ภายในปี 2050): เปิดตลาดไฟฟ้าเสรีเต็มรูปแบบ เพื่อเดินหน้าสู่การเป็น Carbon Neutral ประเทศ
การเปิด TPA ไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างพลังงาน แต่คือการเปิด “พื้นที่แข่งขันใหม่” ให้เศรษฐกิจไทยก้าวเข้าสู่ยุค Green Growth อย่างเต็มรูปแบบ จากระบบพลังงานที่ผูกขาด สู่ระบบพลังงานที่สร้างสรรค์ ยืดหยุ่น และยั่งยืนกว่าเดิม
ดร.ณพพงศ์ กล่าวถึงการยกระดับ SMEs สู่ความยั่งยืนและแข่งขันได้จริง จัดตั้ง One Stop Service เพื่อให้ SMEs เข้าถึงเงินทุน ความรู้ และเทคโนโลยีได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน และเปิดโอกาสให้ SMEs เข้าสู่ตลาดแข่งขันได้จริง ขณะเดียวกันเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีสีเขียวและดิจิทัล พัฒนาทักษะแรงงานผ่านการอบรมและ Skill Matching เตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงของตลาด สร้าง Ecosystem ที่เชื่อมโยงแผนพัฒนาระดับชาติและวาระลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ SMEs เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน
การเปลี่ยนผ่านของธุรกิจ SMEs (Just Transition for SMEs)
แม้ SMEs จะเป็น “กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย” แต่โครงสร้างระบบสนับสนุนยังไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกสีเขียว วันนี้ MSME (Micro, Small, Medium Enterprises) คิดเป็นกว่า 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งหมดในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม Micro Enterprises ที่มีมากถึง 2.75 ล้านราย หรือกว่า 84% ของระบบเศรษฐกิจ แต่ส่วนใหญ่มีพนักงานไม่เกิน 5 คน และยอดขายไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ SMEs ทั้งหมดสร้าง GDP ได้ถึง 35% และจ้างแรงงานกว่า 13 ล้านคน หรือราว 70% ของแรงงานเอกชน
ความท้าทายของผู้ประกอบการรายเล็ก
SMEs ไทยจำนวนมากยังติดกับดัก “โครงสร้างเก่า” ที่ทำให้เปลี่ยนผ่านได้ช้า ตั้งแต่ข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน (กว่า 80% ประสบปัญหานี้ต่อเนื่องมากว่า 10 ปี) ไปจนถึงการขาดทักษะอนาคตด้านดิจิทัลและนวัตกรรม อีกทั้งยังเข้าถึงตลาดใหม่ได้ยาก โดยเฉพาะ Micro และ Small ที่ไม่สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ในระบบอีคอมเมิร์ซหรือการส่งออกได้อย่างเท่าเทียม ขณะเดียวกัน กฎระเบียบหลายข้อยังไม่เอื้อต่อการแข่งขันและการเติบโตของผู้ประกอบการรายเล็ก
เส้นทางสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม
การขับเคลื่อน Just Transition for SMEs จึงไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่คือการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ “เปิดโอกาสให้รายเล็กมีที่ยืน” อย่างแท้จริง
-ระยะสั้น: ต้องเร่ง “เติมทุน” ให้กับกลุ่ม Micro และ Small ซึ่งมักถูกกันออกจากมาตรการภาครัฐและสินเชื่อในระบบ เพราะไม่มีงบการเงินหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน สถาบันการเงินจำเป็นต้องพิจารณาเกณฑ์ใหม่ที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม พร้อมส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสร้าง “ความแตกต่างของสินค้า” ผ่านการสร้างแบรนด์และยกระดับมาตรฐานสินค้าชุมชน
-ระยะกลาง: พัฒนาองค์ความรู้และทักษะให้สอดคล้องกับโลกอนาคต เช่น AI, Digital Skills และ Green Business Model พร้อมเปิดโอกาสให้เข้าถึงตลาดใหม่ ทั้งออนไลน์และต่างประเทศ รวมถึงการรวมกลุ่มแบบคลัสเตอร์เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มอำนาจต่อรอง
-ระยะยาว: แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันของรายเล็ก จัดตั้ง กลไกทางการเงินนอกระบบธนาคาร สำหรับ Micro และ Small ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซึ่งปัจจุบันต้องพึ่งพา Nano/Pico Finance ที่มีดอกเบี้ยสูงถึง 30% ต่อปี) และจัดตั้ง One Stop Service เพื่อสร้าง Ecosystem ที่เหมาะสมกับแต่ละประเภทธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก บริการ หรือการผลิต
“Just Transition for SMEs” ไม่ได้หมายถึงการช่วยเหลือรายเล็กให้รอดจากการเปลี่ยนผ่านเท่านั้น แต่คือการออกแบบระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ ให้โอกาสเติบโตอย่างเป็นธรรม สร้างงานสีเขียวในทุกระดับ และทำให้ความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะในบริษัทใหญ่ แต่เกิดได้ในทุกชุมชน ทุกผู้ประกอบการ และทุกความฝันของคนตัวเล็ก
ธรรมศักดิ์กล่าวถึง การเร่งเตรียมความพร้อมปรับตัวรับมือโลกรวน ด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือ ดำเนินการวางรากฐานการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ประโยชน์ พร้อมศึกษาและนำแนวทางนโยบายจากต่างประเทศมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของไทย เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤติโลกรวน
การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation)
ในวันที่โลกร้อนแรงขึ้นทุกปี คำว่า “การปรับตัว” ไม่ได้เป็นเพียงวาทกรรมเชิงสิ่งแวดล้อม แต่คือคำเตือนเชิงระบบสำหรับเมืองใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะ กรุงเทพฯ ที่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่ามีความเสี่ยงจะ “จมน้ำ” ภายใน 25 ปีข้างหน้า จากแรงกดดันของ แผ่นดินทรุด ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก การปรับตัวจึงไม่สามารถรอได้อีกต่อไป เพราะโครงการขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาพัฒนาอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ และหากยังไม่ลงมือวันนี้ ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจะกระทบทั้งเศรษฐกิจ เมือง และคุณภาพชีวิตของคนรุ่นต่อไปอย่างรุนแรง

เอสซีจีจากองค์กรสู่ผู้นำการปรับตัวอย่างเป็นรูปธรรม
ในเวทีนี้ เอสซีจี เป็นหนึ่งในตัวอย่างขององค์กรที่ “Walk the Talk” อย่างแท้จริง ด้วยการลงทุนและลงมือทำอย่างต่อเนื่อง จากการพัฒนา ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ และเทคโนโลยีเก็บกักพลังงานประสิทธิภาพสูง (เช่น Longdo) ไปจนถึงการนำ AI และหุ่นยนต์ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การเปลี่ยนผ่าน” ไม่ใช่ภาระทางธุรกิจ แต่คือโอกาสในการสร้างขีดความสามารถใหม่ให้กับอุตสาหกรรมไทย
ขยายผลสู่สังคมและพันธมิตรธุรกิจ
เอสซีจียังมีบทบาทเชิงรุกในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของผู้ประกอบการรายเล็ก โดยจัดโครงการ Net Zero Accelerator เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ Carbon Footprint และการบริหารความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดบ้านในโครงการ Go Together ถ่ายทอดเทคโนโลยีสีเขียว เช่น ระบบโซลาร์ ระบบกักเก็บพลังงาน หุ่นยนต์ และ AI เพื่อช่วยให้ SMEs เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจสีเขียวได้จริง นอกจากนี้ SCG ยังทำงานร่วมกับเครือข่ายระดับโลก เช่น Global Cement and Concrete Network (GCCN) และ UN Global Compact เพื่อยกระดับมาตรฐาน ESG ของทั้งอุตสาหกรรม
อีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจคือการผลักดันความรู้เกี่ยวกับ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ในฐานะแหล่งพลังงานสะอาด เสถียร และต้นทุนต่ำ ที่อาจเป็นส่วนสำคัญในการแก้สมการพลังงานและสภาพภูมิอากาศในอนาคต
ท้ายที่สุดของเวที ESG Symposium 2025 การปรับตัวคือโอกาส ไม่ใช่ทางเลือก
“การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์องค์กร แต่คือเรื่องของ การอยู่รอดของประเทศ และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่มาจากนวัตกรรมสีเขียวและความร่วมมือข้ามภาคส่วน ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ภาครัฐต้องเป็นผู้ปลดล็อกกฎระเบียบและกลไกสำคัญ เช่น การเปิด Third Party Access (TPA) และการออกแบบ มาตรการสนับสนุน MSMEs อย่างตรงจุด ขณะที่ภาคเอกชนและภาคประชาชนต้องร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการปรับตัวให้เกิดขึ้นในทุกระดับ
“เอสซีจีพร้อมเดินหน้าร่วมกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อผลักดันข้อเสนอจาก ESG Symposium 2025 ไปสู่การปฏิบัติจริง ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการลงทุนพัฒนาผ่านโครงการนำร่อง PPP สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต” ธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย