สิงหาคม 8 ,2568…ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ได้สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานและเคมีภัณฑ์ของประเทศไทย ผ่านการเดินหน้าสู่ธุรกิจโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) อย่างครบวงจร
โดยยึดเป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจคาร์บอนต่ำที่เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมวางรากฐานเศรษฐกิจสีเขียวให้ประเทศ ผ่านการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF รวมถึงการต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพมูลค่าสูง
หนึ่งในความสำเร็จที่ตอกย้ำวิสัยทัศน์ GC คือ การเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่สามารถผลิต SAF เชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ ด้วยกระบวนการ Co-processing ซึ่งใช้น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว หรือ Used Cooking Oil: UCO ร่วมกับน้ำมันดิบในระบบโรงกลั่นเดิม โดยไม่ต้องลงทุนสร้างโรงงานใหม่ ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งผ่านการรับรองมาตรฐาน ISCC CORSIA และ ISCC PLUS ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบไปจนถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“ต้องถือว่า Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF เป็นทั้งความภาคภูมิใจและเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของเราในการไปสู่เป้าหมายของ Net Zero ที่สำคัญเรามองว่าทำอย่างไรถึงจะให้ลูกค้าของเราสามารถนำไปใช้ แล้วสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการนำน้ำมันพืชที่ใช้แล้วนำกลับมาให้ประโยชน์ได้มากขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มให้สิ่งที่เป็นของเสีย สนับสนุนเรื่องของ Circular Economy”
ทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ (President) สองผู้บริหารของบริษัท พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผย
จุดแข็งของโรงกลั่นชีวภาพของ GC ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แนวคิด แต่สะท้อนผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการผลิต SAF เชิงพาณิชย์ในปัจจุบันและขยายกำลังการผลิตในอนาคตอย่างชัดเจน โดยในระยะแรก GC มีศักยภาพในการผลิต SAF ที่ 6 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 15,000 ตันต่อปี และมีแผนขยายกำลังการผลิตเป็น 24 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สูงถึง 60,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็นการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี Co-processing ซึ่งผสานน้ำมันพืชใช้แล้ว หรือ Used Cooking Oil: UCO เข้ากับน้ำมันดิบในหน่วยกลั่นเดิม โดยไม่จำเป็นต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนการลงทุน (CapEx) อย่างมีนัยสำคัญแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของ GC ที่สามารถเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลสู่เศรษฐกิจชีวภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การที่เราทำ SAF ขึ้นมาเพื่อให้เห็นว่า Ecosystem ของการทำ SAF มีอยู่จริงและทำได้จริง ตั้งแต่การเก็บวัตถุดิบ การนำเข้าโรงงานเพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิต กระบวนการจัดจำหน่าย จนไปถึงปลายทางคือลูกค้า ซึ่งกระบวนการทั้งหมดมีความยาก ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวม Used Cooking Oil ตามบ้าน โรงเรียน ร้านอาหารต่างๆจนถึงการปรับปรุงคุณภาพก่อนที่จะป้อนเข้าสู่โรงกลั่นซึ่งเดิมทีกลั่นน้ำมันดิบเพียงอย่างเดียว เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ในโรงกลั่น เพราะหากมีปัญหาจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะกระทบต่อความมั่นคงทางด้านพลังงานของไทย”
นอกเหนือจากเชื้อเพลิง SAF แล้ว กระบวนการ Co-processing ยังสามารถแปรรูปเป็นพลาสติกชีวภาพ หรือ Bio-Polymers มูลค่าสูง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการใช้วัสดุทางเลือกที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ GC ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ Bio-Propylene สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ พลาสติกแข็ง ของเล่นเด็ก และชิ้นส่วนยานยนต์ Bio-BD (Bio-Butadiene) ใช้ในยางรถยนต์และรองเท้ากีฬา และ Bio-PTA (Bio-Purified Terephthalic Acid) สำหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET โดยขณะนี้มีตลาดปลายทางในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมยาง และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ตามลำดับ
รวมถึงต่อยอด Bio-Naphtha วัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตเคมีภัณฑ์และพลาสติก Bio-PE (Bio-Polyethylene) สำหรับผลิตถุงพลาสติก ฟิล์ม และบรรจุภัณฑ์อาหาร และ Bio-MEG (Bio-Monoethylene Glycol) สำหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET
อย่างไรก็ตาม ทศพรยังกล่าวถึงทิศทางการเติบโตของ SAF ซึ่งมักมีคนถามถึงการเติบโตในอนาคต โดยบอกว่าความต้องการและปริมาณของวัตถุดิบอย่าง Used Cooking Oil คือคำตอบ
“ความต้องการใช้ SAF ในปัจจุบันเป็นภาคสมัครใจ แต่ในอนาคตทางการบินพลเรือนจะเข้าสู่ภาคบังคับ โดยจะเริ่มจาก 1-2 % วันนี้เราผลิตอยุ่ที่ประมาณปีละ 6 ล้านลิตร ถ้ามองความต้องการของน้ำมัน JET ปัจจุบันอยู่ที่ 6,000 ล้านลิตรต่อปี หากต้องผสม SAF 2% เท่ากับ 120 ล้านลิตร เราผลิตได้เพียง 5% ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นตลาดยังมีโอกาสอีกมากสำหรับ SAF แต่อนาคตการเติบโตของ SAF จะขึ้นอยู่ที่ปริมาณของ Used Cooking Oil ที่จะหาได้ ซึ่งจะทำให้เราทราบว่าจุดอิ่มตัวจะถึงเมื่อไหร่ แต่ก็ยังมีทางเลือกอื่นเพราะ SAF ไม่ได้ผลิตจาก Used Cooking Oil อย่างเดียว แต่รวมไปถึงน้ำเสียจากโรงงานที่ผลิตน้ำมันปาล์ม และ กระบวนการ Alcohol to Jet หรือ ATJ ซึ่งสามารถนำมาสกัดเป็นวัตถุดิบได้เช่นกัน ซึ่งต้นทุนวัตถุดิบเหล่านี้จะเป็นตัวสะท้อนต้นทุนในการผลิตน้ำมัน SAF”
ด้วยเครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน เช่น OR, การบินไทย, และบางกอกแอร์เวย์ส GC สามารถสร้างโซลูชันที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเริ่มใช้งาน SAF จริงในเที่ยวบินพาณิชย์ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สภายใต้แคมเปญ “Low Carbon Skies” ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา
การลงทุนในโรงกลั่นชีวภาพของ GC ไม่ได้เป็นเพียงการตอบสนองต่อนโยบายสิ่งแวดล้อม หากแต่เป็นยุทธศาสตร์เชิงธุรกิจที่ใช้ “นวัตกรรม” และ “ความยั่งยืน” เป็นเครื่องมือสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ซึ่ง GC กำลังพิสูจน์ว่า การเติบโตทางธุรกิจสามารถไปคู่กับการลดผลกระทบต่อโลกได้จริง พร้อมมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593 และวางบทบาทเป็นผู้เล่นหลักในเศรษฐกิจชีวภาพของโลกยุคใหม่อย่างมั่นคง





