CSR

แก้ภัยแล้ง “เติมน้ำใต้ดิน” ชุมชนนนทรีสร้างรายได้จากพืชผักอินทรีย์ปีละ 3 ล้านบาท

6-7 พฤษภาคม 2566…มี SROI หรือผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนคือ 1 ต่อ 17.09 บาทกลุ่มธุรกิจ TCP รุกขยายชุมชนรอบข้าง ต. นนทรี จ. ปราจีนบุรี นับเป็นวิธีการหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมทั่วโลกคือ “การเติมน้ำใต้ดิน หรือ Managed Aquifer Recharge (MAR) คืออีกหนึ่งมิติการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับและเกิดผลสัมฤทธิ์ในหลายประเทศ เป็นแนวทางการแก้ปัญหาภัยแล้งมีประสิทธิภาพ

สำหรับประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP ได้ทำงานร่วมกับสถาบันทรัพยากรน้ำใต้ดิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดทำโครงการพัฒนาและจัดการน้ำอย่างยั่งยืนด้วยการเติมน้ำใต้ดินระดับตื้น นำร่องที่ ต. นนทรี จ. ปราจีนบุรี ซึ่งมีพื้นที่กว่า 42,000 ไร่ เกิดเป็นชุมชนต้นแบบที่ชาวบ้านได้มีส่วนร่วม 49 จุด (โดยมีชุมชนที่เติมน้ำใต้ดินแล้ว 91 จุด) ชุมชนเหล่านี้มีองค์ความรู้เรื่องน้ำใต้ดินอย่างแข็งแกร่ง สร้างประโยชน์ให้กับพื้นที่ของตนเอง และต่อยอดเป็นโมเดลเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน

ไพจิตร จอมพันธ์ ประธานคณะทำงานเครือข่ายชุมชนต้นแบบเติมน้ำใต้ดิน กล่าวว่า ชุมชนนนทรี จะเน้นการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ โดยที่ผ่านมาชาวบ้านต้องเลือกปลูกพืชที่ทนแล้งได้ดี เช่น มันสำปะหลัง และยูคาลิปตัส เพราะขาดแคลนน้ำ มีปริมาณน้ำไม่แน่นอนในแต่ละปี

“ถึงแม้เราจะช่วยกันใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแก้ปัญหาน้ำ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จนพวกเราอยากจะถอดใจ ทำงานหนักแต่คาดเดาผลผลิตไม่ได้จากปัญหาน้ำที่เกิดขึ้นในแต่ละปี เมื่อมีโครงการเติมน้ำใต้ดินเข้ามาช่วยให้ความรู้ ลงแรงร่วมใจกันในการพัฒนาและจัดการทรัพยากรน้ำ ทำให้เกิดความมั่นคงของน้ำ ชาวบ้านสามารถลงทุนปลูกพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น สามารถสร้างเครือข่ายชุมชนต้นแบบเติมน้ำใต้ดินที่มีความแข็งแกร่งและขยายจำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการอย่างรวดเร็ว เพราะทุกคนในชุมชนได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากการเติมน้ำใต้ดิน มีปริมาณน้ำกิน น้ำใช้ อย่างพอเพียงแม้ในฤดูแล้ง และยังพร้อมที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับชุมชนอื่นๆ โดยได้ส่งต่อความรู้ให้กับเกษตรกรที่สนใจไปแล้วกว่า 800 คน”

ปัจจุบันเครือข่ายชุมชนต้นแบบเติมน้ำใต้ดินมีตลาดหลักคือ โรงครัว(ทำอาหารให้ผู้ป่วยของโรงพยาบาล),ร้านค้า,มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ซื้อแบบแห้ง เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบของสมุนไพร)โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ,เลมอน ฟาร์ม โดยรายได้ที่เกิดขึ้น 25% จ่ายเป็นค่ารถ ค่าคนขาย ที่เหลือนำเข้าสหกรณ์ฯ สิ้นปีหักต้นทุนกำไรแบ่งปันสมาชิก  มีกิจกรรมทางการเกษตรที่หลากหลายเพิ่มขึ้นจาก 61 เป็น 123 กิจกรรม

“อาชีพหลักพวกเราทำนา แต่ก็มาทำเกษตรอินทรีย์ 9 ปี ตอนนั้นมีรายได้เดือนละ 200 บาท ปัจจุบันเมื่อได้เติมน้ำใต้ดินได้แล้ว ปัจจุบันเรามีรายได้เฉลี่ย 10,000 บาทต่อเดือน”

แนวทางการเติมน้ำใต้ดิน
ร่วมเจ้าของพื้นที่ชุมชนศึกษา-สำรวจ-สร้าง 

ผศ. ดร.โพยม สราภิรมย์ ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรน้ำใต้ดิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น เล่าถึงการทำงานเติมน้ำใต้ดินในลุ่มน้ำบางปะกงว่า

“การเติมน้ำใต้ดิน เป็นหนึ่งในแนวทางการแก้ปัญหาภัยแล้งที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมแพร่หลายทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย อิสราเอล จีน และเกาหลีใต้ เนื่องจากภาวะโลกร้อน ภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบันนี้ไม่ได้เกิดแค่ช่วงฤดูกาล แต่จะเกิดเป็นช่วงละหลายๆ ปี ในช่วงปีน้ำมากจึงต้องเก็บสะสมน้ำไว้ใช้ในช่วงปีน้ำน้อย ดังนั้นการเก็บน้ำบนดินอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว”

การเติมน้ำใต้ดินสามารถทำได้หลายวิธี โดยให้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของสภาพปัญหาในพื้นที่นั้น ๆการทำงานกับ กลุ่มธุรกิจ TCP และชุมชนต.นนทรีแห่งนี้ เริ่มต้นทำโครงการนี้ตั้งแต่ปี 2561 โดยใช้เวลา 2 ปีแรกในการศึกษาและสำรวจความเหมาะสมทางด้านอุทกธรณีวิทยา ชั้นดิน ชั้นหิน ปริมาณและคุณภาพของทั้งน้ำผิวดินและใต้ดิน และได้เลือก ต.นนทรี เป็นชุมชนต้นแบบการเติมน้ำใต้ดิน จากศักยภาพความเหมาะสมในการเติมน้ำใต้ดิน เป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์ และมีเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง มีความพร้อมในการสร้างชุมชนต้นแบบถ่ายทอดองค์ความรู้ได้เป็นอย่างดี

การจัดการเติมน้ำใต้ดิน 4 วิธี ที่นำมาใช้ในพื้นที่ ต.นนทรี จ.ปราจีนบุรี ได้แก่
1.สระขั้นบันได เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง มีน้ำหลากมาก สามารถกักเก็บน้ำได้มาก และเติมน้ำได้อย่างรวดเร็ว
2.สระน้ำ เหมาะกับพื้นที่ที่มีน้ำหลากไหลผ่าน น้ำท่วมขัง เก็บกักน้ำได้มาก
3.บ่อวง เหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็กที่มีความลาดชัน เป็นร่องน้ำหรือมีทางไหลของน้ำที่ชัดเจน
4.หลังคา เหมาะกับพื้นที่ชุมชน หรือครัวเรือนที่มีพื้นที่จำกัด น้ำที่เติมลงไปเป็นน้ำสะอาดจึงสามารถใช้ในครัวเรือนได้

ปัญหาด้านน้ำหลัก ๆ ของพื้นที่ ต. นนทรี จ. ปราจีนบุรี คือ น้ำแล้ง ทั้งที่มีฝนตกปริมาณมากและเกิดปัญหาน้ำท่วมเกือบทุกปี ซึ่งแหล่งน้ำผิวดินจะระเหยไปจนไม่พอใช้ ดังนั้นการกักเก็บน้ำลงสู่ชั้นใต้ดินเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยบริหารจัดการน้ำให้มีใช้อย่างเพียงพอ


ทำสิ่งใกล้ตัวเพิ่มน้ำต้นทุน
ปลุกพลังเศรษฐกิจชุมชน

“กลุ่มธุรกิจ TCP ในฐานะองค์กรที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ต้องการให้ชุมชนมีแหล่งน้ำในการอุปโภค บริโภค และการเกษตรอย่างเพียงพอ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชน สร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับเกษตรกร นี่คือภารกิจด้านการบริหารจัดการน้ำที่คุณสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ได้เริ่มต้นไว้ และลงมือทำโครงการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าเราได้ให้การสนับสนุนการจัดการน้ำในหลากหลายมิติ เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ต่างๆ”

อาจรีย์ สุวรรณกูล ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวและเสริมว่า

“สำหรับโครงการเติมน้ำใต้ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำบางปะกง เราได้เข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อเติมเต็มการทำงานให้ครบทุกมิติ โดยภาครัฐจะดูแลการเติมน้ำในแหล่งน้ำสาธารณะ เช่น แม่น้ำ คูคลองต่างๆ บทบาทของกลุ่มธุรกิจ TCP จะเข้าไปช่วยเสริมการเติมน้ำใต้ดินระดับตื้นในพื้นที่ชุมชน และพื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน ผ่านการทำงานอย่างใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้นำชุมชน และชาวบ้าน ซึ่งผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากโครงการฯ เป็นที่น่าภูมิใจ เพราะไม่เพียงแค่ทำการเกษตรได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังปลุกพลังเศรษฐกิจชุมชน สร้างโอกาส สร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน จากการที่คนในชุมชนเปลี่ยนมาปลูกพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง อาทิ ทุเรียน มังคุดและมะยงชิด โดยในปี 2564 – 2565 มีรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรสะสมกว่า 1.8 ล้านบาท และยังพัฒนาต่อยอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวนวัตวิถีของดีชุมชนอีกด้วย”

ผลิตผลทางการเกษตรอินทรีย์จากชุมชนนนทรี ทั้งทุเรียนและพืชผัก ที่ใช้น้ำมาจากการเติมน้ำใต้ดิน

ทั้งนี้ โครงการพัฒนาและจัดการน้ำอย่างยั่งยืนด้วยการเติมน้ำใต้ดินพื้นที่ลุ่มน้ำบางปะกง อยู่ภายใต้โครงการ TCP โอบอุ้มลุ่มน้ำไทยที่กลุ่มธุรกิจ TCP ได้ดำเนินการสนับสนุนเงินทุน 100 ล้านบาทตามแผนการดำเนินงาน 5 ปี (พ.ศ. 2562 – 2566) ในพื้นที่ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำบางปะกง และลุ่มน้ำโขง ครอบคลุม 7 จังหวัด ให้ได้เข้าถึงแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคมากกว่า 15 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือกว่า 3 เท่าของปริมาณน้ำที่กลุ่มธุรกิจ TCP ใช้ในตลอดกระบวนการ ตามกลยุทธ์ “ปลุกพลังห่วงใยสิ่งแวดล้อม”

กลุ่มธุรกิจ TCP ได้ริเริ่มโครงการโอบอุ้มลุ่มน้ำไทย มุ่งเน้นพันธกิจด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครบทุกมิติ ทั้งน้ำบนดิน และน้ำใต้ดิน เพื่อสร้างความยั่งยืนและผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือเป็นองค์กร Net Water Positive หรือการใช้น้ำสุทธิเป็นบวก ลดการใช้ทรัพยากรน้ำและเติมน้ำสะอาดกลับคืนสู่แหล่งน้ำในท้องถิ่นให้ได้มากกว่า 100%

 

You Might Also Like

No Comments

Leave a Reply