Sansiri SE × BEANS Coffee Roaster Specialty Coffee – SD Perspectives : Sustainability Media in Thailand Sansiri SE × BEANS Coffee Roaster Specialty Coffee – SD Perspectives : Sustainability Media in Thailand

แสนสิริ วางเส้นทาง SE “ศูนย์กาแฟพิเศษครบวงจร” เพื่อเศรษฐกิจฐานราก สู่โมเดลธุรกิจยั่งยืน

แสนสิริ สร้างโมเดล Social Enterprise ร่วมกับ BEANS Coffee Roaster

พฤศจิกายน 19,2025…การสร้างโมเดล SE คือปลูกกาแฟในป่า ร่วมฟื้นต้นน้ำภาคเหนือ ขยายผลสู่ศูนย์เรียนรู้กาแฟครบวงจร ด้วยแนวคิด Fair Price พร้อมเดินหน้าโมเดลธุรกิจคาร์บอนต่ำ ภายใต้มาตรฐาน IFRS S1/S2 ตั้งเป้าการดำเนินงาน 5 ปี (2569–2573) เป็นจุดศูนย์กลางสำหรับผู้คนที่สนใจเกี่ยวกับกาแฟ มุ่งผลักดันองค์ความรู้เกี่ยวกับกาแฟให้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือต่อไป

สมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) แสนชัย จูเปาะ เจ้าของไร่ Saen Chai Estate เกษตรกรต้นแบบ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ บริรักษ์ อภิขันติกุล ที่ปรึกษาโครงการศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร อัครินทร์ ศิวพรพิทักษ์ และ ชนัญญา ทวีสิน Co Founder บีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ ร่วมกันเล่าถึง แสนสิริ สร้างโมเดล Social Enterprise ร่วมกับ BEANS Coffee Roaster ปลูกกาแฟในป่า พื้นที่ 16 ไร่

แสนสิริมีประวัติการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) มายาวนาน เช่น โครงการ Sansiri Academy โครงการ Iodine Please โครงการ Zero Dropout ที่ทำงานกับกสศ.ซึ่งทั้งหมดมุ่งสร้างแพลตฟอร์มเพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคม

“สำหรับกาแฟ ก่อนหน้านี้ 11 ปีที่แล้ว แสนสิริเริ่มสนับสนุนกาแฟจากเกษตรดอยผาฮี้ จังหวัดเชียงราย มาผลิตเป็น “แสนสิริ ซิกเนเจอร์ เบลนด์ คอฟฟี่” เสิร์ฟใน Sansiri Lounge สำนักงานขาย และเครือโรงแรม นำกาแฟเทพเสด็จ ไว้ในงาน Chiangmai Coffee Week 2024 และตั้งแต่ปี 22024 ถึงปีนี้ ริเริ่มโครงการ Future Harvest นำร่องสนับสนุนต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีจำนวน 5,200 ต้น ให้กับเกษตรกร 15 ราย ในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่”

สมัชชากล่าวต่อเนื่องถึงการขับเคลื่อนสังคมของแสนสิริหลากหลายโครงการ แต่ก็ตระหนักว่าการช่วยเหลือแบบ CSR เป็นปลายทางและไม่ยั่งยืนเพียงพอ จึงมองหาการลงทุนที่จุดเริ่มต้น โดยเฉพาะปัญหา PM2.5 และน้ำท่วมในเชียงใหม่

ต่อมา แสนสิริได้พูดคุยกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อหาทางทำให้ “ความตั้งใจดี” กลายเป็น “ระบบที่ยั่งยืนได้จริง”คำแนะนำที่ได้รับคือ การต่อยอดแนวคิด Social Enterprise ให้มีโครงสร้างชัดเจน ทำหน้าที่ขับเคลื่อนโครงการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้ด้วยตนเอง และหมุนกำไรทั้งหมดกลับคืนสู่ชุมชน

“การจัดตั้ง ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร เป็นแนวทางที่เราจะใช้พืชเศรษฐกิจอย่างกาแฟมาเป็นตัวเชื่อมโยงให้เกษตรกร และทุกภาคส่วนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้หันมายกระดับเศรษฐกิจฐานรากร่วมกัน โดยหวังว่าจะเป็นอีกตัวอย่างการสร้างกลไกเพื่อช่วยสร้างความยั่งยืนของการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก กับชุมชนและสังคม ทั้งแบบท้องถิ่น และระดับประเทศ”

ทั้งนี้ตามไทม์ไลน์ SE ของแสนสิริ

  • ปี 2025 จัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม (คาดว่าจะเปลี่ยนสถานะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมภายใน 1 ปี) วางรากฐานและเริ่มจัดหาพื้นที่สำหรับปลูกกาแฟทดลอง รวมถึงสรรหาบุคลากร
  • ปี 2026 เริ่มปลูกต้นกล้ากาแฟ และพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเกษตรกรในพื้นที่
  • ปี 2027 ต้นกาแฟเริ่มเจริญเติบโต คาดว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นแหล่งรวมองค์ความรู้ใหม่ๆ สำหรับเกษตรกรทั้งในและนอกพื้นที่
  • ปี 2028 ดำเนินกิจกรรมตรวจสอบสถานะแหล่งกาแฟ เพื่อระบุสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ และจัดทำ ไบโอชาร์ (Biochar) กระบวนการผลิตถ่านชีวภาพ จากมวลชีวภาพ (เช่น กากกาแฟที่แห้งแล้ว ใบไม้ กิ่งไม้) เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถของดินในการอุ้มน้ำและเก็บกักสารอาหาร จะช่วยให้กาแฟเติบโตได้ดีในหน้าแล้ง
  • ปี 2029 ต้นกาแฟเริ่มให้ผลผลิต และเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟพิเศษท้องถิ่น เช่น ชา น้ำผึ้ง ปุ๋ย ฯลฯ ขยายเครือข่ายกาแฟพิเศษสู่ต่างประเทศ
  • ปี 2030 (ครบ 5 ปี) คาดว่าโมเดลนี้จะเป็นต้นแบบที่แสดงให้สังคมเห็นว่า การทำงานร่วมกันอย่างจริงจังกับผู้มีความรู้ สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้ สามารถนำโมเดลนี้ไปต่อยอดกับจังหวัด หรือ อำเภออื่นๆได้

“งบประมาณเริ่มต้น 3-5 ล้านบาท ในช่วง 2-3 ปีแรก ซึ่งจะใช้ในการจัดซื้อพันธุ์พืช การจัดอบรม การจ้างแรงงานท้องถิ่น และการประสานงานกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น มหาวิทยาลัย”

สมัชชาอธิบายต่อเนื่อง ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม โครงการนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร สร้างรายได้เพิ่มขึ้นในชุมชน และส่งเสริมให้เกิดการ “คืนถิ่น” ซึ่งจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่

พื้นที่นำร่องอยู่ที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี แสนชัยเกษตรกรต้นแบบ เป็นผู้นำร่อง

“กาแฟใต้ร่มไม้ให้ผลผลิตน้อยกว่า แต่ยั่งยืนกว่า และทำให้คนอยู่ในป่าได้อย่างมีศักดิ์ศรี”

กาแฟที่ปลูกใต้ร่มไม้ช่วยฟื้นดิน ฟื้นแหล่งน้ำ และยังทำให้คนรุ่นใหม่กลับบ้าน เพราะเมื่อรายได้ดีพอ เด็กรุ่นใหม่ก็ไม่ต้องย้ายไปทำงานในเมือง หนึ่งต้นกาแฟ จึงไม่ใช่เพียงพืชเศรษฐกิจ แต่คือ “เส้นใยของความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่า”

แต่กว่าที่แสนชัยจะพูดถึงข้างต้นได้นั้น เขาเองยอมรับว่า “การกลับบ้านอย่างมีศักดิ์ศรี” นับเป็นต้นน้ำที่สำคัญ การกลับมาทำเกษตรกรรมในบ้านเกิดเป็นเรื่องยาก เพราะสังคมมองว่าไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามเขาก็สามารถทำให้คนในชุมชนยอมรับได้

“โมเดลของเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการปลูกกาแฟ ซึ่งจะต้องเป็นกาแฟพิเศษ สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและเปลี่ยนทัศนคติให้คนรุ่นใหม่กล้ากลับมาดูแลพื้นที่และสร้างมูลค่ากาแฟพิเศษ มีราคาสูงกว่ากาแฟธรรมดาถึง 2-3 เท่า หรือมากกว่านั้น โดยกาแฟทั่วไปราคาประมาณ 200-300 บาทต่อปี แต่กาแฟพิเศษบางตัวที่ประมูลอาจมีราคาสูงถึงหลักหมื่น”

แสนชัย กล่าวต่อเนื่องว่า พื้นที่ 16 ไร่ ปลูกกาแฟแบบยั่งยืนใต้ต้นไม้ ซึ่งแม้ผลผลิตไม่มากเท่าปลูกกลางแจ้ง แต่สม่ำเสมอและดีต่อสิ่งแวดล้อม แทนที่จะเน้นเพียงปริมาณ ทำให้ป่าอยู่ได้ คนอยู่ได้ มีความสุข และมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนการปลูกกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์พิเศษที่มีมูลค่าสูง เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น Catuai, Caturra, Geisha, SL28, SL34, Typica, Bourbon, Laurina, Pacamara และสายพันธุ์อื่น ๆ ที่จะทดลอง ในพื้นที่ต่อไป

บริรักษ์ ที่ปรึกษาโครงการศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร อธิบายเพิ่มเติมในส่วนกลางน้ำ ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจรแห่งนี้ถูกออกแบบให้เป็น “ส่วนกลางของชุมชนกาแฟ” ที่ไม่เพียงรวบรวมและเผยแพร่องค์ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ซึ่งเดิมเป็นข้อมูลที่เข้าถึงยากและกระจัดกระจาย แต่ยังพัฒนาหลักสูตรทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติที่ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการสวนบนพื้นที่ลาดชัน การดูแลดิน–ปุ๋ย การแปรรูปเพื่อเพิ่มคุณภาพ กระบวนการ ไปจนถึงความเข้าใจสายพันธุ์กาแฟ พร้อมต่อยอดสู่การผลิตกาแฟพิเศษ

“ศูนย์ฯ ถ่ายทอดความรู้ด้าน Farm Management, Soil Health (สุขภาพดิน) , Processing Techniques (เทคนิคการแปรรูป) เช่น Anaerobic, Honey Process พร้อมฐานข้อมูลต้นทุน–กำไร ให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตและการตลาดได้เอง”

บริรักษ์ กล่าวต่อเนื่อง จะมีการเน้นทักษะที่เกษตรกรไทยขาดหาย เช่น การคัดเลือกเมล็ด การตากที่มีมาตรฐาน และการจัดการของเสีย ซึ่งเป็นหัวใจในการยกระดับสู่กาแฟ Specialty ระดับ 85+ ที่เพิ่มมูลค่าได้สูงถึง 3–5 เท่า

ศูนย์ฯ ยังทำหน้าที่เป็นช่องทางสนับสนุนการขายผลิตผล เช่น เมล็ดกาแฟ น้ำผึ้ง และผลิตภัณฑ์ต่อยอดในชุมชน พร้อมตั้งเป้าสร้างผู้นำเกษตรรุ่นใหม่ เชื่อมองค์ความรู้กับมหาวิทยาลัย และตั้งมาตรฐานการผลิตเชิงมืออาชีพเพื่อให้เกษตรกรไทยมีรายได้ที่ “เพิ่มขึ้น-มั่นคง-ยืนได้” ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูธรรมชาติในระยะยาว

“ถ้าเราไม่ให้ความรู้เรื่องการจัดการสวนกาแฟและคุณภาพดินอย่างลึกซึ้ง การปลูกกาแฟก็ไม่ต่างจากพืชเชิงเดี่ยวรูปแบบใหม่”

อัครินทร์ และ ชนัญญาในฐานะ Co-Founder BEANS Coffee Roaster ร่วมกันแลกเปลี่ยนมุมมองในส่วนปลายน้ำถึงการยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีสากลไม่ใช่เพียงเรื่องรสชาติ แต่คือการยกระดับระบบทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การแปรรูป และมาตรฐานการควบคุมคุณภาพ เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ที่ตลาดโลกต้องการ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ซื้อและผู้บริโภคต่างประเทศยอมรับในราคาที่เป็นธรรมและสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป

“ความได้เปรียบที่แท้จริงของไทยไม่ได้อยู่ที่ “จำนวนไร่ที่ปลูกได้มากกว่า” แต่คือ “คุณค่าที่สร้างขึ้นจากวิธีคิดและวิถีผลิต” เมื่อผสานความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการผลิตอย่างโปร่งใส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Storytelling ของพื้นที่ต้นน้ำกัลยาณิวัฒนา ศูนย์การเรียนรู้ และเส้นทางการพัฒนากาแฟพิเศษของคนในชุมชน ยิ่งช่วยขยาย Soft Power ให้กาแฟไทยมีมูลค่าเพิ่ม และเป็นจุดเด่นที่สามารถแข่งขันกับกาแฟนำเข้าได้ในอนาคต”

อัครินทร์ กล่าวต่อเนื่อง ในอีกมิติหนึ่ง ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจรยังมีศักยภาพพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ เหมือนการพาคนเมือง “เดินย้อนกลับไปสู่ต้นทางของกาแฟ” ทั้งในเชิงการเรียนรู้ การพักผ่อน และการเชื่อมต่อกับชุมชนท้องถิ่น ผ่านกิจกรรมอย่างฟาร์มสเตย์ เวิร์กชอปกาแฟ และการมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตจริง ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เสริมแก่เกษตรกร พร้อมปลดล็อกโอกาสใหม่ ๆ ให้เยาวชนในพื้นที่เห็นอาชีพที่มั่นคงและมีเกียรติในบ้านเกิดของตนเอง และขยายวงจรเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูธรรมชาติและวัฒนธรรมพื้นที่ต้นน้ำอย่างยั่งยืน

“กาแฟดีไม่ใช่แค่รสชาติ แต่ต้องเล่าได้ว่าใครปลูก และปลูกอย่างไร”

ทั้งนี้ กาแฟดังกล่าวจะมีให้เลือกที่ BEANS Coffee Roaster สำหรับ Brand Positioning ของ BEANS Coffee Roaster ชนัญญากล่าวว่า

“แบรนด์ยืนบนแนวคิด Value for Money ที่ลูกค้าสามารถเลือกเมล็ดและวิธีชงตามรสนิยมและงบประมาณ ทำให้ Specialty Coffee ไม่ใช่ภาพของความ “ไฮเอนด์ไกลตัว” แต่กำลังจะกลายเป็น New Normal ของการดื่มกาแฟคุณภาพดีที่เข้าถึงได้มากขึ้น พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมในระดับ Personal Experience ผ่านโครงการ Blend Your Own Coffee ซึ่งที่ผ่านมา รายได้ส่วนหนึ่งถูกนำไปบริจาคให้มูลนิธิที่ลูกค้าเลือก โดยมี Storytelling เป็นแกนกลางในการเชื่อมผู้บริโภคเข้ากับต้นทางของกาแฟ”

เมื่อศูนย์การเรียนรู้เปิดอย่างสมบูรณ์ จะกลายเป็นประตูอีกบานหนึ่งที่ทำให้ผู้ดื่มได้สัมผัสเส้นทางชีวิตของกาแฟแบบครบวงจร ตั้งแต่ผืนป่าจนถึงแก้วในมือ