พฤศจิกายน 9,2025…กลางผืนน้ำสีครามของอ่าวไทย “เกาะหมาก” จังหวัดตราด ไม่ได้เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ หากแต่กำลังกลายเป็นต้นแบบของ Low Carbon Destination แห่งแรกของประเทศไทย
นล สุวัจจนานนท์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก กล่าวว่า Koh Mak Low Carbon คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้ปัจจุบันเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากการที่อพท. ร่วมกับภาคีเครือข่ายได้ส่งเกาะหมากเข้าประกวดรางวัลระดับโลก โดยได้รับเลือกให้เป็น 1 ในแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน 100 แห่งของโลก (Top 100 Destination Sustainability Stories 2022) หัวข้อ “The Journey to Become the First Low Carbon Destination in Thailand” จากองค์กร Green Destination ประเทศเนเธอร์แลนด์ และอันดับ 2 ในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในปี พ.ศ. 2568 จนได้รับการขนานนามว่า Green Destination ทำให้ยิ่งต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เกาะหมากเป็นพื้นที่ที่ประชาชน ภาครัฐ นักวิชาการ และภาคเอกชนอย่าง บางจาก คอร์ปอเรชั่น รวมพลังกันสร้าง “สมดุลธรรมชาติ” ให้กลับคืนสู่ทะเลไทยอีกครั้ง ผ่านโครงการ ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลหมู่เกาะหมาก ศูนย์การเรียนรู้เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศใต้ทะเลและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง

กลอยตา ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ที่ 3 จากซ้าย)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุริยัน ธัญกิจจานุกิจ คณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ที่ 4 จากซ้าย)
ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ที่ 2 จากขวา)
นล สุวัจจนานนท์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก (ซ้าย)
ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.(ที่ 2 จากซ้าย)
นพดล สุทธิธนกูล ประธานกลุ่มวิสาหกิจเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด และประธานกลุ่มอนุรักษ์ปะการัง เกาะหมาก (ขวา)
จุดเริ่มจากคำว่า Net Zero บางจากฯ
เมื่อบางจากฯ ประกาศเป้าหมายสู่ Net Zero 2050 บริษัทไม่ได้มองเพียงเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนหรือพลังงานสะอาด แต่ยังเชื่อว่าธรรมชาติคือ “ผู้ร่วมลดคาร์บอนที่ทรงพลังที่สุด”
“ต้นไม้หนึ่งไร่ดูดซับคาร์บอนได้ 1–2 ตัน แต่หญ้าทะเลดูดซับคาร์บอนได้ถึง 8–10 ตันต่อไร่ต่อปี”
กลอยตา ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขยายความต่อเนื่อง ตัวเลขเพียงประโยคนี้คือแรงบันดาลใจให้บางจากฯ เริ่มต้นโครงการ “หญ้าทะเลสู้โลกร้อน” บนเกาะหมาก ร่วมกับ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, องค์การบริหารพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.), และ องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก เพื่อศึกษาศักยภาพของหญ้าทะเลในฐานะ Blue Carbon Ecosystem ที่กักเก็บคาร์บอนได้นานกว่าป่าบกหลายเท่า
โครงการนี้ไม่เพียงฟื้นฟูระบบนิเวศใต้ทะเล แต่ยังใช้พลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์ ลดการปล่อยคาร์บอนในทุกขั้นตอน สะท้อนแบรนด์ไอเดีย บางจากฯ “Greenovate to Regenerate หรือ สมดุลธรรมชาติ สรรค์พลังไม่สิ้นสุด”
“ผลกระทบจากโลกร้อนอาจดูไกลตัว แต่สำหรับชุมชนที่พึ่งพาทะเล มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน” กลอยตา กล่าว
จากวิทยาศาสตร์สู่การมีส่วนร่วมของชุมชนทุกมิติ
เบื้องหลังความงดงามของผืนน้ำสีคราม คือการผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับพลังของคนท้องถิ่น
ผศ. ดร. สุริยัน ธัญกิจจานุกิจ คณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายว่า
“งานวิจัยเกี่ยวกับหญ้าทะเลที่เคยอยู่บนหิ้ง ถูกนำมาปรับใช้จริงในพื้นที่เกาะหมาก ผ่านเทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและการเพาะกล้าจากเมล็ด โดยไม่รบกวนต้นพันธุ์ในธรรมชาติ เพื่อสร้างระบบฟื้นฟูที่ยั่งยืน เกาะหมากจะกลายเป็นโรงเรือนอนุบาลหญ้าทะเลโดยชุมชนแห่งแรกของประเทศไทย”

หญ้าคาทะเลหรือหญ้าชะเงาใบยาว (Enhalus acoroides)
ขณะเดียวกัน กลุ่มอนุรักษ์ปะการังบ้านอ่าวนิด นำโดย นพดล สุทธิธนกูล ประธานกลุ่มวิสาหกิจเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด และประธานกลุ่มอนุรักษ์ปะการัง เกาะหมากเข้ามาดูแลพื้นที่เพาะเลี้ยงและเป็นหัวใจสำคัญของการขยายผลสู่ชุมชน
“เรารู้สึกขอบคุณพันธมิตรที่ไม่เพียงให้ทุน แต่ให้โอกาสเราเรียนรู้ และเป็นพี่เลี้ยงให้ทีมอนุรักษ์ทำงานได้ถูกต้องตามหลักวิชาการ”
การมีส่วนร่วมนี้ทำให้เกาะหมากก้าวสู่การเป็น ชุมชนต้นแบบของการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับธรรมชาติ หรือ Low Carbon Destination ตามคำของ ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร, ผู้อำนวยการ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ที่กล่าวว่า
“ความยั่งยืนที่แท้จริง ต้องเกิดจากการลงมือทำร่วมกัน ไม่ใช่เพียงนโยบายจากส่วนกลาง”
เกาะหมากในวันนี้กำลังเปลี่ยนจาก “จุดหมายปลายทาง” สู่ “ห้องเรียนกลางทะเล” ที่ทุกคนเข้าถึงได้เพราะศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลฯ ไม่ได้มีไว้เฉพาะนักอนุรักษ์ แต่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยว นักเรียน และพนักงานบริษัท ได้ลงมือทำและเรียนรู้การดูแลทะเลด้วยตนเอง
บางจากฯ และพันธมิตรจะมีโอกาสต่อยอดศูนย์ฯ ให้กลายเป็น Green Tourism Experience Platform ที่ผสานการเรียนรู้ การท่องเที่ยว และการสื่อสารสิ่งแวดล้อมไว้ในที่เดียว ผ่านกิจกรรมหลากหลาย เช่น
–Seagrass & Coral Workshop ให้นักท่องเที่ยวได้ปลูกหญ้าทะเลและเรียนรู้การฟื้นฟูแนวปะการังจริง
–Low Carbon Summer Camp สำหรับโรงเรียนนานาชาติ และเยาวชนที่อยากเป็น มัคคุเทศก์น้อยด้านสิ่งแวดล้อม
–Green Hotel Network บนเกาะหมาก เพื่อยกระดับที่พักสู่มาตรฐาน Green Hospitality ลดพลาสติก และจัด “Carbon Learning Walk” สำหรับแขกผู้เข้าพักที่จะมองหาโรงแรมประเภทนี้มากขึ้น
“นักท่องเที่ยวยุคใหม่ยินดีจ่ายเพื่อประสบการณ์ที่มีคุณค่า และอยากรู้ว่าทริปของเขาช่วยโลกได้จริงแค่ไหน นั่นคือจุดขายใหม่ของ Green Tourism”
ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงมุมมองทางการตลาด พร้อมย้ำว่า จุดเด่นของเกาะหมากที่สามารถทำกิจกรรมตามที่กล่าวข้างต้นได้ เพราะเป็นพื้นที่ที่คัดนักท่องเที่ยวโดยตัวเองอยู่แล้ว นับตั้งแต่เรื่องการเดินทาง จนกระทั่งการนั่งเรือจากฝั่งมาที่แห่งนี้ เป็นที่มาของการท่องเที่ยวในกลุ่ม Upper Income เพื่อเพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวไปพร้อมกับความยั่งยืน
นอกจากนี้ บางจากฯ ยังเตรียมร่วมมือกับ โรงแรม ร้านอาหาร และกลุ่มชุมชน ในการพัฒนาแพ็กเกจ “เรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” เพื่อให้การท่องเที่ยวไม่เพียงสร้างรายได้ แต่สร้างคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง และบางจากฯ จะพิจารณา โปรแกรม CSR ที่ชวนพนักงานทำ Outing ที่นี่ หรือมีโอกาสให้สมาชิก บางจากฯกรีนไมลส์ ร่วมดำน้ำ และปลูกหญ้าทะเลในฐานะ กิจกรรม Blue Carbon ณ เกาะหมาก ก็เป็นสิ่งที่ไม่ยากเกินไปนัก
เมื่อธรรมชาติและธุรกิจเรียนรู้จะอยู่ร่วมกัน
ในภาคธุรกิจ กลอยตาอธิบายว่า ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลหมู่เกาะหมาก โครงการนี้จึงไม่ใช่ CSR ที่จบลงในพิธีเปิด แต่คือส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “Renovate the World สมดุลธรรมชาติ สานพลังไม่สิ้นสุด” ของบางจากฯ ที่มุ่งสู่ Net Zero 2050 ผ่านสามเสาหลัก
Reduce ลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิตและพลังงานสะอาด
Restore ฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติ ทั้งป่าชายเลนและหญ้าทะเล
Rebalance ส่งต่อองค์ความรู้ สู่พนักงาน ลูกค้า และชุมชน ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรม “คืนสมดุลให้โลก”
“นี่คือ CSR ที่มาจากหัวใจ เพราะเราไม่ได้มาช่วยชุมชน แต่เรามาเรียนรู้จากชุมชน เพื่อเติบโตไปด้วยกัน”
ทั้งนี้ การเรียนรู้ ก็สามารถเริ่มจากเยาวชนรุ่นใหม่ ซึ่งได้พบในวันเปิดศูนย์ฯ คือ “จอร์จ เรย์” เยาวชนลูกครึ่งไทย–อังกฤษวัย 17 ปี ปัจจุบันเป็นครูดำน้ำฝึกหัดที่เติบโตบนเกาะหมาก ได้กล่าวอย่างเรียบง่ายว่า
“วัยรุ่นส่วนใหญ่ชอบเล่นเกม แต่ผมชอบอยู่ในน้ำ ผมอยากสอนเด็กบนเกาะให้ดำน้ำเป็น จะได้ช่วยดูแลหญ้าทะเลและปะการังด้วยตัวเอง”
จอร์จคือภาพแทนของ “คนรุ่นใหม่” ที่เลือกจะอยู่กับธรรมชาติ ไม่ใช่แค่รักทะเลจากระยะไกล เขากำลังสะสมประสบการณ์เพื่อเปิดคอร์สดำน้ำราคาประหยัด ให้เยาวชนบนเกาะได้เรียนรู้ และสร้างคนรุ่นต่อไปที่เข้าใจทะเลในแบบที่เขาเติบโตมากับทะเล
จากเกาะหมาก…เรื่องราวของหญ้าทะเลจึงไม่ใช่เพียงโครงการอนุรักษ์ แต่คือ โมเดลการเรียนรู้เพื่อโลก ที่สะท้อนความจริงข้อหนึ่งของยุค Net Zero ว่า “ความยั่งยืนไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่คือการเดินทางร่วมกันของทุกคน”
ทุกภาคส่วนมีบทบาทในระบบนิเวศเดียวกัน ตั้งแต่ผู้บริหาร บริษัทท่องเที่ยว นักเรียน ไปจนถึงจิตอาสาใต้น้ำ และเมื่อ “ธรรมชาติ” กลายเป็นห้องเรียน “ธุรกิจ” ก็กลายเป็นครูที่เรียนรู้จะหายใจร่วมกับโลกอย่างถ่อมตนและยั่งยืน
“นี่ไม่ใช่เรื่องของบางจากฯ หรือเกาะหมาก แต่คือเรื่องของเราทุกคน ที่ต้องช่วยกันหายใจให้โลกต่อไป”
หญ้าทะเล…รากเล็กของโลกใหญ่ กำลังจะงอกงามอยู่ใต้ผืนน้ำของเกาะหมาก และอาจเป็นรากเล็กที่ต่ออายุให้โลกทั้งใบ






