มิถุนายน 12 , 2568…จากข้อมูลสํานักงานตํารวจแห่งชาติ พบว่ามีผู้เสียหายแจ้งความคดีออนไลน์เกิดขึ้นสูงถึง 858,508 เรื่องคิดเป็นความเสียหายสูงถึง 87,400 ล้านบาท คือเท่ากับว่าละ 78 ล้านบาทที่หายไปจากการหลงกลกดเพียงคลิ๊กเดียว ความเสียหายที่ขยายวงกว้างออกไป ไม่ใช่เพียงแค่ทรัพย์สิน แต่รวมไปถึงสภาพจิตใจของเหยื่ออันอาจนําไปสู่การสูญเสีย
แม้ว่าที่ผ่านหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามติดตามป้องกัน ปราบปราม จากทีมผู้กระทําความผิด รวมถึงสร้างเครื่องมือมาป้องกันประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่มิจฉาชีพมีวิธีการใหม่มาหลอกลวงสร้างความเสียหายอยู่ตลอดเวลาโรคภัยไซเบอร์จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็นภัยระดับชาติที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
เอไอเอสจึงเดินหน้าภารกิจป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อยกระดับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ สานต่อความร่วมมือรวมพลังเครือข่ายปลอดภัย ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” โดยร่วมกับกระทรวงดิจิทัลฯ สกมช. และ สอท. จัดเสวนา “Zero Scam Thailand: รวมพลังหยุดภัยไซเบอร์ สู่สังคมปลอดภัย”เปิดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองและองค์ความรู้ร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อผสานพลังตัดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง ตอกย้ำความมุ่งมั่นสร้างเครือข่ายดิจิทัลที่ปลอดภัยในทุกมิติ
ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวเปิดงาน

“รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ให้ความสำคัญกับการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ที่กระทบประชาชนโดยตรง โดยที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งขับเคลื่อนหลายด้าน ทั้งการวางกลไกระดับชาติโดยสำนักงานไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) การเสริมศักยภาพศูนย์ AOC การพัฒนามาตรฐานและบุคลากรร่วมกับ ETDA และ depa ตลอดจนการสร้างความรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ให้ประชาชน อย่างไรก็ตาม ความมั่นคงไซเบอร์ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งด้านนโยบาย การบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างโครงข่ายดิจิทัลที่ปลอดภัยและมีความรับผิดชอบต่อสังคม”
พร้อมกันนี้ ประเสริฐ ยังกล่าวขอขอบคุณเอไอเอสที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง ความร่วมมือในวันนี้คือก้าวสำคัญในการวางรากฐานระบบนิเวศไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง แม้ภัยไซเบอร์จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ผลกระทบนั้นชัดเจน เราจึงต้องร่วมกันสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักรู้ในทุกระดับของสังคม
สายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวเสริมว่า เอไอเอส มุ่งมั่นในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ ‘ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์’ อย่างเป็นรูปธรรม โดยการรวมพลังทุกภาคส่วนสร้างเครือข่ายที่ปลอดภัย เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยไซเบอร์

“วันนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการสานต่อภารกิจดังกล่าว ซึ่งเอไอเอส ได้กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จัดเสวนาหัวข้อ Zero Scam Thailand: รวมพลังหยุดภัยไซเบอร์ สู่สังคมปลอดภัย เพื่อเปิดเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้แก่หน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรในระบบนิเวศดิจิทัล เพื่อตอกย้ำว่าทุกคนล้วนเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับการป้องกันภัยไซเบอร์ของประเทศ”
สำหรับเสวนาหัวข้อ “Zero Scam Thailand: รวมพลังหยุดภัยไซเบอร์ สู่สังคมปลอดภัย” เริ่มต้นด้วยนาวาเอกหญิง ศิริเนตร รักษ์วงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวถึงบทบาทสำคัญของ สกมช. ซึ่งมีหน้าที่ในการเสริมความรู้และทักษะแก่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานทางด้านไซเบอร์ เพื่อเป็นการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศของประเทศ แต่ภายหลังมีข่าวประชาชนเสียชีวิตจากภัยออนไลน์ เราจึงเร่งสร้างความตระหนักรู้พื้นฐานที่สำคัญสำหรับประชาชน เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ ผ่านแพลตฟอร์ม HTTPS://LINKTR.EE/THNCA ซึ่งถือเป็นคลังความรู้ด้านไซเบอร์ สังคมการเรียนรู้การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ Cybersecurity Learning Society
“เราไม่ได้ทำเพียงคนเดียวแต่มีทีมไทยแลนด์ซึ่งประกอบด้วยภาครัฐ หน่วยงานต่างๆและภาคเอกชนรวมเป็นเครื่อข่ายที่ช่วยสนับสนุนสร้างความตระหนักรู้เรื่องภัยไซเบอร์ซึ่งมีการเผยแพร่ในแพลตฟอร์มของเรา และตามภูมิภาคต่างๆ ในทุกช่วงวัยตั้งแต่เด็กอนุบาล นักเรียน ผู้ปกครองเพื่อให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ สำหรับผู้สูงวัยเรามีการออกไปตามภูมิภาค เพื่อให้ความรู้ในการปกป้องแอพลิเคชั่นธนาคารซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญมาก ในแพลตฟอร์มจะมีความรู้ด้านทักษะไซเบอร์ เทคนิคต่างๆ และความรู้สำคัญคนทั่วไป”

เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) เผยว่า AOC เป็นศูนย์รับเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันต้องการให้ทุกคนต้องคอยเป็นหูเป็นตา คอยดูแลความผิดแปลกของชุมชนที่อยู่ หากมีเรื่องผิดปกติต้องบอกเล่าให้คนอื่นฟัง หรือโทรมาที่ 1441 ซึ่งเปิดสายตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อส่งให้ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการ
“เฟสต่อมาตอนนี้เราได้งบประมาณมาเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจาก 1441 ทั้งหมด เมื่อผู้เสียหายโทรมาจะมีข้อมูลของค่ายมือถือต่างๆเพื่อเช็คว่าเบอร์ที่โทรมาเป็นค่ายไหน และสามารถระงับได้ทันทีหากพิสูจน์ได้ว่าเป็นมิจฉาชีพ และชื่อนามสกุลของมิจฉาชีพจะถูกส่งไปยังข้อมูลกลางของทุกธนาคารเพื่ออายัติบัญชีทั้งหมด ตลอดจนคริปโตเคอร์เรนซีด้วย รวมถึงเชื่อมโยงชื่อนามสกุลของมิจฉาชีพหากเปิดบัญชีเป็นนิติบุคคล ทางกระทรวงพาณิชย์จะเข้ามาดำเนินการต่อไป เราพยายามจำกัดภัยคุกคามทางไซเบอร์ให้ได้มากที่สุด”
เอกพงษ์ ย้ำว่าการเป็นหูเป็นตาเบาะแสต่างๆเป็นสิ่งสำคัญเพราะมิจฉาชีพเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างรวดเร็ว เวลาเจออะไรเราต้องเอ๊ะ!ไว้ก่อนเพราะมีเคสใหม่เกิดขึ้นทุกวัน นอกจากนี้พยายามอย่าเข้าไปติดต่อซื้อขาย ลงทุน หรือแจ้งเบาะแสในช่องทางโซเชียลมีเดีย ให้ไปในช่องทางที่ถูกต้องจะดีกว่า
พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 มองว่าปัจจุบันทุกคนกำลังโดนจู่โจมจากมิจฉาชีพไม่ช่องทางใดก็ช่องทางหนึ่ง ทั้งทางโทรศัพท์ ข้อความสั้น ชวนลงทุน ขายของ แม้กระทั่งจองที่พักเพื่อท่องเที่ยว เป็นภัยที่ใกล้ตัวมาก แม้จะมีตำรวจไซเบอร์ เข้ามาดูแลแต่กำลังพลก็ยังไม่พอเพียง เพราะอาชญากรจะมีวิธีการใหม่ๆเพื่อหลอกลวงประชาชน
จากข้อมูลของตำรวจสากล การก่ออาชญากรรมจากสแกมเมอร์ทั่วโลกทำรายได้มากกว่าจำหน่ายยาเสพติดไปแล้ว ไม่แปลกที่อาชกรจะเข้ามาทุกวิธีทางที่จะได้เงินไป

“อาชญากรออนไลน์มักใช้จิตวิทยาในการเข้าหาเหยื่อ จากข้อมูลการรับแจ้งความเราพบว่าจิตวิทยาที่คนร้ายใช้มี 4 อย่าง คือ รัก โลภ ตกใจ เชื่อใจ ผู้ร้ายจะมีการวิเคราะห์ว่าเหยื่อขาดอะไรแล้วจะเต็มอะไรให้เหยื่อหลงกล หลอกให้รักแล้วขอเงิน หลอกให้รักและชวนถ่ายคลิปไปแบล็คเมล์ ส่วนคนโลภก็จะถูกหลอกโดยการชวนลงทุน เอาหน้าคนที่ประสบความสำเร็จมาชวนลงทุน หรือถ้าตกใจก็จะหลอกเอาประเด็นต่างๆที่อาจจะทำให้เกิดเรื่อง ขึ้นโรงขึ้นศาลมาทำให้ตกใจ เชื่อใจจะมีหลากหลายรูปแบบ ยืมเงินปลอมโปรไฟล์เพื่อหลอกให้เราโอนเงินให้”
ทั้งนี้ 5 อันดับที่อาชญากรไซเบอร์ประทุษร้ายเหยื่อคือ 1 หลอกซื้อของขายของ ขายบริการ เพราะคนไทยชอบซื้อของ 2 หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน หรือทำภารกิจ 3 หลอกให้กู้เงิน 4 หลอกลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายมากที่สุด 5 ข่มขู่ทางโทรศัพท์
สายชลขยายความเพิ่มเติม สำหรับเอไอเอส ที่ผ่านมามีการพูดถึงแคมเปญ Cyber Wellness หรือมีหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ รวมถึงทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร และการจัดเวทีสัมมนาเพื่อให้ความรู้กับประชาชน อีกทั้งพัฒนาเรื่องของการลงทะเบียนซื้อซิม จนทำให้ซิมผีเป็นไปได้ยากขึ้น

“เราทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาตั้งแต่ต้น โดยใช้ความรู้ทางด้าน Engineering ของเราในการที่จะทำงานร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เราไม่ทำงานตัวคนเดียว เพราะปัญหาอาชญากรรมเราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ ต้องสร้างการตระหนักรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงทางไซเบอร์”
สุดท้ายพลตำรวจตรีศิริวัฒน์ยังฝากถึงประชาชนว่าหากเจอกลลวงทางไซเบอร์ให้ตั้งสติ ที่สำคัญต้องติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้รู้เท่าทันกลลวงต่างๆของอาชญากรไซเบอร์ ความท้าทายคือการทำให้ประชาชนตื่นรู้ เพื่ออนาคตแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์จะกลายเป็นเรื่องเล่าตลกๆเหมือนแก๊งค์ตกทองในอดีต
จากความร่วมมือและความมุ่งมั่นจากทุกภาคส่วนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เอไอเอส หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะสามารถสร้างระบบนิเวศไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย และยั่งยืน พร้อมส่งมอบอนาคตดิจิทัลที่เชื่อถือได้ให้กับประชาชนทุกคน เพื่อก้าวสู่สังคมไทยที่ปลอดภัยและพร้อมรับมือทุกความท้าทายในยุคดิจิทัลนี้อย่างมั่นคงและยั่งยืน