LingOrm BaseHouse น้ำท่วมหาดใหญ่ | SD Perspectives : Sustainability Media in Thailand LingOrm BaseHouse น้ำท่วมหาดใหญ่ | SD Perspectives : Sustainability Media in Thailand

LingOrm Basehouse เมื่อด้อมอาสาช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่อย่างด่วน 1 วัน

ด้วยโครงสร้างแบบทีมการตลาด–ทีมอาสา จากหลากหลายอาชีพ

ธันวาคม 1,2025…ในโลกธุรกิจบันเทิงยุคที่ “กระแส” ขับเคลื่อนทุกอย่าง ด้อมส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นเพียงกลุ่มแฟนคลับที่คอยเชียร์ศิลปินอยู่หน้าจอ แต่กรณีของ “LingOrm Basehouse” แฟนด้อมของนักแสดงซีรีส์ Girls’Love(GL) หรือแซฟฟิก “หลิงออม” สังกัดช่อง 3 กลับเดินไปไกลกว่านั้นมาก ทั้งในมิติการตลาด การจัดการ และบทบาทด้านสังคม

เกือบ 2 ปี ของ LingOrm Basehouse วันนี้ฐานแฟนคลับของหลิงออมเติบโตเป็นเครือข่ายข้ามประเทศ มีสมาชิกบน X กว่า 105,000 บัญชี, Instagram 125,000, Facebook 50,000, TikTok 50,000 และ OpenChat รวมราว 5,000 คน

LingOrm Basehouse ไม่ได้เป็นเพียงแฟนด้อมในไทย แต่เป็นเครือข่ายข้ามพรมแดน มีแฟนคลับประจำประเทศอย่าง ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฝรั่งเศส รวมถึงอินเตอร์แฟนจากหลายภูมิภาคที่เข้าใจระบบการทำงานของ Basehouse ถึงขั้นประสานงานร้านค้าในไทยเองได้ แต่เวลาลงโปรเจกต์ใหญ่ เช่น Billboard หรือสแตนบอล ยังกลับมารวมศูนย์ที่บ้านใหญ่ในไทย ทำให้โมเดลการจัดการของ Basehouse เป็นรูปแบบ “แฟนด้อมโลกแบบรวมศูนย์” ที่พบไม่บ่อยในวงการบันเทิงไทย

จุดเริ่มต้นของ LingOrm Basehouse ไม่ได้มาจากแผนการใหญ่โต แต่มาจากคนธรรมดาคนหนึ่งที่เห็นเพียงโปสเตอร์โปรโมตซีรีส์แซฟฟิกเรื่องแรกช่อง 3 ปี 2567 เรื่อง “ใจซ่อนรัก” แล้วเกิดคำถามว่า “น้องสองคนนี้คือใคร” จากนั้นเริ่มค้นดูผลงานย้อนหลังและพบว่า

“หลิงหลิง คอง กับออม กรณ์ณัส เศรษฐรัตนพงศ์ อยู่ในวงการมานานแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าที่ควร เราเลยคิดแค่ว่าต้องช่วยเปิดการมองเห็นให้น้องมากที่สุด ก่อนที่ซีรีส์จะออน โดยที่เราก็ไม่เคยเจอตัวจริงน้องมาก่อน”

แอดมินเพจ LingOrm Basehouse เล่าย้อนความรู้สึกแรกเริ่มให้ฟัง จากนั้นเพียงหนึ่งทวีตที่ประกาศอยากทำ Food Support ด้วย Food Truck 1คันที่มีของให้กองถ่าย “ใจซ่อนรัก” ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมตัวแฟนคลับกว่า 30 คนที่ไม่เคยเจอหลิงออมมาก่อน แต่ยอมลงชื่อร่วมโปรเจกต์ทันที

“เรายังตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารักเขาตอนไหน แต่พอเห็นตัวจริงแล้ว กลับรู้สึกว่าอยากทำอะไรเพื่อเขามากกว่าที่คิดไว้”

แอดมินเล่าอย่างตรงไปตรงมา นั่นทำให้การรวมกลุ่มแฟนคลับครั้งแรกไม่ได้จบลงแค่ Food Support แต่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “บ้าน” ที่จะขยายตัวเป็น LingOrm Basehouse ในเวลาต่อมาตามที่กล่าวไว้ข้างต้น

หลังจบโปรเจกต์แรก ทีมงานเริ่มสร้างอัตลักษณ์ของด้อมอย่างจริงจัง พวกเขาเลือกใช้สีม่วงอ่อนจากโปสเตอร์ซีรีส์มาเป็นสีประจำด้อม ออกแบบโลโก้ และที่สำคัญคือไม่ทำแบบสมัครเล่น แต่ขออนุมัติการใช้ชื่อ โลโก้อย่างเป็นทางการผ่านคนกลางของช่อง 3 ทุกอย่างถูกส่งให้ผู้ใหญ่ของช่องพิจารณา ก่อนจะอนุมัติให้ใช้ชื่อและภาพลักษณ์ชุดนี้

“เราประสานงานผ่านคนกลางของช่อง 3 ทุกครั้ง ไม่เคยข้ามขั้น ไม่เคยติดต่อโดยตรงกับผู้ใหญ่ เพราะมองว่ามาตรฐานตรงนี้สำคัญกับทั้งน้องและช่อง”

แอดมินอธิบาย โครงสร้างความสัมพันธ์จึงชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า LingOrm Basehouse เป็นแฟนด้อมอิสระที่ประสานงานผ่านตัวแทนช่อง ไม่ใช่หน่วยงานของช่อง 3 และในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ทีมงานทางการของศิลปิน แต่เป็นฐานแฟนคลับที่มีระบบการทำงานของตัวเอง

“งานทั้งหมดที่ทำ เป็นงานฟรี 100% เรามีรายได้จาก X แค่ช่องเดียว และเงินที่แฟนคลับโดเนทมา ทุกบาทใช้กับงานของน้องและงานช่วยเหลือเท่านั้น” แอดมินย้ำชัดเจน

แม้จะเป็นจิตอาสา แต่ระบบการทำงานไม่ต่างจากทีมมาร์เก็ตติ้งมืออาชีพ มีการแบ่งหน้าที่ตามความถนัด แอดมินจะเป็นศูนย์กลางในการรับข้อมูลจากช่อง 3 และตารางงานของหลิงออม แล้วแตกงานต่อให้ทีมอาสา วางลำดับความสำคัญของโปรเจกต์ วางแผนเผื่อเหตุการณ์วิกฤต และคิดล่วงหน้าว่าแต่ละกิจกรรมอาจมีผลกระทบเชิงบวก–ลบอย่างไร

การเลือกกิจกรรมของ LingOrm Basehouse ถูกออกแบบเชิงกลยุทธ์ กิจกรรมหนึ่งชุดมีทั้งงานสื่อสาร งานหน้าบ้าน และงานเพื่อสังคมที่เสริมภาพลักษณ์ของศิลปินไปพร้อมกัน ช่วงก่อนซีรีส์ “ใจซ่อนรัก” ออน ทีมตั้งโจทย์ชัดว่าจะต้อง “เพิ่มการมองเห็นให้น้องมากที่สุด”

“ตอนนั้นเราตัดสินใจขอพื้นที่สแตนด์บอล ในงานฟุตบอลช่อง 3 ปี 2567 จำนวน 100 ที่นั่ง ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าคนจะมาครบหรือไม่ คุณดิวให้ สุดท้ายแสตนเต็มตามเป้าหมาย งานวันเกิดปีแรกจัดได้ถึง 500 ที่นั่ง และตามมาด้วยแฟนมีต 2,000 ที่นั่ง ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงที่ซีรีส์ยังไม่ออกอากาศเต็ม ๆ ด้วยซ้ำ ในด้อมเรามีคำหนึ่งที่พูดกันตลอดว่า ‘ตีฟูก่อน’ คือเราจะทำก่อน ทำให้คนเห็นก่อน ของทุกอย่างที่เกี่ยวกับน้อง”

แอดมินเล่าถึงแนวคิดที่เปลี่ยนจากแฟนคลับผู้ตามมาเป็นคนตั้งต้นกระแสของแบรนด์ศิลปิน

เมื่อถามถึงเกณฑ์การเลือกกิจกรรม จากเทรนด์ทวิตไปจนถึงแฟนมีตและงานเพื่อสังคม แอดมินอธิบายว่า ทุกอย่างเริ่มจากการประเมิน “จังหวะ” และ “ศักยภาพของด้อม” งานประจำอย่างฟุตบอลช่อง 3 รู้ล่วงหน้าว่าจะจัดทุกปี ทีมจึงวางแผนยาวเรื่องคอนเซ็ปต์สแตน การกระจายข่าว และการคัดเลือกผู้เข้าร่วม ส่วนงานแฟนมีตและงานวันเกิด จะดูทั้งกำลังทรัพย์ของด้อม ความพร้อมของทีม และอารมณ์ของแฟนคลับในช่วงนั้นว่ากำลัง เป็นอย่างไร

“อย่างงานฟุตบอลช่อง 3 ปีนี้สแตนด์ LingOrm Basehouse มีแปรอักษร เพลทของเราที่เป็นแบบของจุฬาฯธรรมศาสตร์ใช้ แล้วเรานั่งทำเพลทกันเอง ซ่อมเพลทกันเอง แฟนคลับมารวมตัวที่บ้าน ทำกันช่วง 1-2 เดือน การแปรอักษร เป็นงาน อาสาสมัครล้วน ๆ ไม่มีงบ ไม่มีดีล ไม่มีสปอนเซอร์ เช่นเดียวกับจัดกิจกรรมให้แฟนคลับหลิงออมที่สนามเทพหัสดิน ซึ่งก็เป็นอาสาสมัครทุกอาชีพช่วยกัน ก่อนที่จะเข้าสู่สนามศุภฯช่วงบ่าย”

มาถึงงานช่วยสังคม งานบริจาคช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่เป็นตัวอย่างชัดเจนของการตัดสินใจในภาวะวิกฤต โดยใช้ประสบการณ์จากการช่วยเหลือภายใต้ชื่อหลิงออม ช่วงน้ำท่วมเชียงราย และน่าน ครั้งนี้แอดมินเล่าว่า

“ทีมคุยกันตอนประมาณสองทุ่มวันที่ 25 ตกลงจะลงพื้นที่ช่วยทันที คืนเดียวก็ออกแบบอาร์ตเวิร์ก เขียนแคปชั่น เตรียมระบบรับโอน และหาเส้นทางโลจิสติกส์ พอประกาศเช้าวันถัดมาแฟนคลับก็หลั่งไหลร่วมบริจาค ภายในวันเดียวได้ยอดเกือบหกแสนบาท ก่อนถูกแปลงเป็นถุงยังชีพ เครื่องนอน ของใช้เด็ก และของจำเป็นอื่น ๆ ซึ่งในวันประกาศ น้องออมแชร์ข้อมูลไปที่ X ทาง Caltex ในฐานะที่ให้น้องเป็นพรีเซ็นเตอร์ ก็เสนอพื้นที่ปั๊มแห่งหนึ่งให้เป็นที่รับสินค้าจะบริจาค ซึ่งทั้งหมดถูกลำเลียงลงพื้นที่โดยความช่วยเหลือด้านรถจากน้องออมและเครือข่ายพันธมิตร

“สิ่งที่เราเห็นชัดจากเคสน้ำท่วมหาดใหญ่คือ ด้อมเราพร้อมทำบุญมาก และพร้อมลงมือจริงในเวลาอันสั้น และเมื่อของไปถึงหาดใหญ่ ก็มีด้อมในพื้นที่ที่เป็นนักศึกษาช่วยกัน” แอดมินสรุป

ในมุมความสัมพันธ์กับหลิงและออม ทีมแอดมินย้ำว่า ไม่ได้เป็น “ทีมงานส่วนตัว” และไม่ได้เข้าไปจัดการชีวิตศิลปิน แต่ทำหน้าที่เหมือน “ทีมสนับสนุน” ที่คอยสร้างพื้นที่ปลอดภัยและสร้างโอกาสในการมองเห็นจากทุกส่วน รวมถึงเจ้าของแบรนด์สินค้าต่าง ๆ ทั้งสองรับรู้สิ่งที่ด้อมทำ

ปัจจุบันเมื่อแฟนด้อมเติบโต และสิ่งที่เหมือนกันมากคือชอบทำบุญ แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนต่าง ๆ ของงานและความคาดหวังก็สูงขึ้นตาม แอดมินยอมรับตรง ๆ ว่า “ความเห็นที่หลากหลาย” คือความท้าทายหลักของวันนี้ การโพสต์แคปชั่นหนึ่งประโยค การเลือกภาพหนึ่งภาพ หรือการตัดสินใจทำโปรเจกต์หนึ่งโปรเจกต์ ต้องผ่านการคิดหลายชั้นมากขึ้น เพราะอาจกระทบทั้งด้อม ศิลปิน และช่อง 3

“เรากลายเป็นคนคิดมากกว่าตัวเองเมื่อก่อนเยอะมาก ทุกโพสต์ต้องคิดว่าไปกระทบใครไหม แก้ได้ไหมถ้าเกิดปัญหา และต้องถามตัวเองว่าเราทำสิ่งนี้เพราะเรารู้สึก หรือเพราะมันดีต่อน้องจริง ๆ”

แอดมินเล่า ความท้าทายอีกด้านคือการรักษาสมดุลชีวิตส่วนตัวซึ่งมีอาชีพการงานรวมอยู่ กับงาน LingOrm Basehouse เพราะทีมหลักต้องสแตนด์บายบนโซเชียลแทบ 24 ชั่วโมง

นี่คือเสียงของคนกลุ่มหนึ่งที่เริ่มต้นจากทวีตเดียว แต่วันนี้กำลังทำหน้าที่เป็นทั้งแฟนคลับ ทีมการตลาด และทีมอาสาสมัครเพื่อสังคม ในเวลาเดียวกัน และสะท้อนให้เห็นว่า “พลังแฟนด้อม” ในยุคนี้ ไม่ได้สร้างแค่กระแสในไทม์ไลน์ แต่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ทั้งต่อศิลปิน สื่อ และชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตจริง ๆ

ที่มาภาพทั้งหมด LingOrm BaseHouse