WHA Group รุกเกมธุรกิจสีเขียว จากกรอบกำกับสู่กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกใหม่ พิสูจน์ “กรีนต้องกินได้”

เมื่อผู้นำธุรกิจกล้าคิดใหม่ WHA Group แปลงความยั่งยืนจากหน้าที่ให้เป็นโอกาส สร้างวัฒนธรรมสีเขียวที่เติบโตไปพร้อมโลก

กันยายน 20,2025…จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(WHA Group) กล่าวว่า

“แม้ครึ่งปีแรกเต็มไปด้วยความท้าทายแต่เราสามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส สร้างคุณค่าให้แก่นักลงทุน ลูกค้า และเศรษฐกิจไทย ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการธุรกิจ และการนำนวัตกรรมมาพัฒนาโซลูชันครบวงจรเพื่อตอบโจทย์และดึงดูดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต”

WHA Group กำลังก้าวข้ามบทบาทจากผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจสีเขียวของภูมิภาค ด้วยการวางกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “กรีนต้องกินได้” ที่เชื่อมโยงเป้าหมาย ESG, Climate Change และ Lifestyle Sustainability เข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรม

“บริษัทเชื่อมั่นว่าความยั่งยืนไม่ใช่ต้นทุนที่ต้องแบกรับ แต่คือการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาในระยะยาว ความยั่งยืนไม่ใช่ต้นทุน แต่คือเงินลงทุน ถ้ามองให้ออกว่าจะทำอย่างไรให้ ‘กินได้’ มันจะสร้างผลตอบแทนกลับคืนมา”

ภายในช่วง 5 ปีข้างหน้า WHA Group ได้จัดสรรงบลงทุน (Capex) สำหรับโครงการด้านความยั่งยืนกว่า 48,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันให้การรักษาสิ่งแวดล้อมเดินควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมีแกนคิดสำคัญ 3 ประการ คือ โลกใบใหม่ที่กฎเกณฑ์เปลี่ยนทุกวัน ใครปรับตัวได้ก่อนคือผู้นำของโลกใบใหม่ และ “กรีนต้องกินได้” หรือการสร้างรายได้ควบคู่ไปกับการรักโลก

CFO เล่าถึงการลงทุนการเงิน

ในระดับเป้าหมายระยะกลางและระยะยาว บริษัทได้กำหนดทิศทางที่ชัดเจนในหลายมิติ เริ่มจากด้าน Net Zero ที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทที่ 1 และ 2 ลง 42% ภายในปี 2030 และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี 2050 โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทปล่อยคาร์บอนประมาณ 21,000–22,000 ตัน แต่สามารถลดการปล่อยได้กว่า 60,000 ตัน ผ่านการขายพลังงานหมุนเวียนให้กับลูกค้าและการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายในกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายด้าน Circularity ที่ตั้งเป้าให้มี Green Procurement ถึง 50% ภายในปี 2030 และบรรลุ 100% Circularity ภายในปี 2050 ในขณะที่ด้านการจัดการน้ำ (Nature Commitment) ตั้งเป้าจะรีไซเคิลน้ำให้ได้ 70% ภายในปี 2037 และ 100% ภายในปี 2050 รวมถึงด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ที่วางเป้าหมาย No Net Loss ภายในปี 2030 และ Net Positive ภายในปี 2050 โดย

ระบบบำบัดน้ำเสียแบบบึงประดิษฐ์ และระบบบำบัดน้ำเสียแบบ RO

ยึดหลักว่าการเติบโตที่ยั่งยืนต้องร่วมมือกับทุกภาคส่วน “เราจะไม่ไปคนเดียว ต้องพาทุกภาคส่วนไปด้วยกัน ทั้งชุมชน ลูกค้า และซัพพลายเออร์” ผู้ บริหารของ WHA กล่าว

แนวคิด “กรีนต้องกินได้” ยังสะท้อนอย่างชัดเจนผ่านผลลัพธ์และเป้าหมายของโครงการหลักทั้งสามด้านของบริษัท ได้แก่ Mobility, Renewable Energy และ Reclaimed Water โดยในปีที่ผ่านมา ธุรกิจ Mobility หรือยานยนต์ไฟฟ้า มีรถในระบบกว่า 300 คัน สร้างรายได้ 132 ล้านบาท และช่วยลดคาร์บอนได้ 2,800 ตัน ขณะที่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนสร้างรายได้ 493 ล้านบาท ลดคาร์บอนได้มากกว่า 61,000 ตัน และธุรกิจน้ำรีไซเคิลผลิตน้ำได้ 7.6 ล้านลูกบาศก์เมตร สร้างรายได้ 303 ล้านบาท เทียบเท่าการใช้น้ำของประชากรกว่า 200,000 คน สำหรับเป้าหมายปี 2029 บริษัทตั้งเป้ามีรถไฟฟ้าในระบบ 20,000 คัน สร้างรายได้ 11,000 ล้านบาทต่อปี และลดคาร์บอนได้ถึง 280,000 ตันต่อปี โดยลูกค้าจะสามารถประหยัดเงินลงทุนและค่าดำเนินงานรวมกว่า 37,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจะขยายกำลังผลิตเป็น 1,200 เมกะวัตต์ และช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าไฟได้ 1,860 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ธุรกิจน้ำรีไซเคิลจะขยายกำลังผลิตเป็น 24 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี สร้างรายได้ 1,800 ล้านบาท เทียบเท่าการใช้น้ำของเกือบ 700,000 คน

โรงงานให้เช่าสำเร็จรูปแบบอาคารติดกัน และโรงงานให้เช่าสำเร็จรูปแบบอาคารเดี่ยว

ภายใต้กรอบแนวคิดนี้ WHA Group ยังเดินหน้าสร้างโอกาสใหม่ในธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Businesses and New Opportunities) ผ่านการพัฒนา Second Life Battery ซึ่งมุ่งนำแบตเตอรี่จากรถยนต์ไฟฟ้าที่หมดอายุการใช้งานหลักแล้ว ทั้งจากรถของบริษัทเองและจากแหล่งภายนอก มาจัดเก็บและใช้ซ้ำเป็นระบบกักเก็บพลังงาน (energy storage) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานหมุนเวียนในพื้นที่อุตสาหกรรม ถือเป็นก้าวสำคัญในการปิดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Circularity) และต่อยอดระบบ EV Ecosystem ของบริษัทให้ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

นอกจากผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมแล้ว WHA Group ยังมุ่งวางรากฐานเพื่อเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระยะยาว โดยเร่งพัฒนาโซลูชันลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization Solutions) เช่น โครงการปลูกป่า 5,000 กว่าไร่ร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงที่เริ่มต้นนำร่องแล้วกว่า 200 ไร่ในช่วงสองปีแรก ช่วยในเรื่องคาร์บอนเครดิตควบคู่กับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (Carbon Credit / Biodiversity) โดยเปลี่ยนมุมมองจากการปลูกต้นไม้เพื่อกิจกรรม CSR หรือปฏิบัติตามเงื่อนไข EIA ไปสู่การ “ลงทุน” อย่างเป็นระบบ ผ่านความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในการคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่มีศักยภาพสูงในการดูดซับคาร์บอน พร้อมวางแผนจัดการพื้นที่สีเขียวระยะยาวเพื่อสร้างคาร์บอนเครดิตและรายได้ในอนาคต ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่เชื่อมโยงสิ่งแวดล้อมกับเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยปัจจุบันได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)

นิคมอุตสาหกรรม