ตุลาคม 21,2025… หนึ่งในกฎระเบียบที่ภาคธุรกิจไทยไม่อาจมองข้าม คือ CSDDD (EU Corporate Sustainability Due Diligence Directive) ที่เป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการทำการค้ากับสหภาพยุโรป
ดร. พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้แชร์มุมมองที่น่าสนใจบนเวทีงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ในโลกการค้าที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ “แนวทางของความยั่งยืน” ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทรนด์อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “กติกาใหม่” ที่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตาม
CSDDD มีความสำคัญต่ออนาคตผู้ประกอบการของไทย เพราะเป็นกฎระเบียบที่จำเป็นซึ่งสหภาพยุโรปบังคับใช้กับบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงกิจการในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง แม้ตั้งอยู่นอกยุโรปก็ตาม กล่าวคือ หากผู้ประกอบการไทยยังต้องการส่งออกหรือเชื่อมโยงกับตลาดยุโรป ก็จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานนี้อย่างเคร่งครัด
ทำไม CSDDD ถึงสำคัญต่อธุรกิจไทย
สหภาพยุโรป หรือ อียู (EU) เป็นตลาดส่งออกอันดับ 4 ของประเทศไทย คิดเป็นมูลค่าการส่งออกไปราว 24,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือ 8% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่ธุรกิจไทยก็มีการลงทุนโดยตรงในยุโรปกว่า 23,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญว่าเหตุใดผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญของ CSDDD
โดยสินค้าส่งออกของไทยที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ยางพารา อัญมณี สิ่งทอ และประมง ซึ่งมักเป็นหมวดที่มักถูกตั้งคำถามประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงาน โดยในกรณีที่ไม่สามารถปรับตัวตามข้อกำหนด อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียตลาดและต้นทุนที่สูงขึ้น แต่หากผ่านเกณฑ์ดังกล่าวได้ ก็จะเป็นเสมือนใบเบิกทางสู่โอกาสใหม่ทั้งในตลาดยุโรปและตลาดอื่นๆ ที่กำลังจะใช้มาตรฐานเดียวกัน
ธุรกิจควรรับมือกับ CSDDD อย่างไร
การเตรียมพร้อมต่อ CSDDD ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามข้อบังคับ แต่คือ “การลงทุนเชิงกลยุทธ์” เพื่ออนาคต โดยเสนอแนวทาง 4C สำหรับภาคธุรกิจไทย ได้แก่
- Collect: รวบรวมข้อมูลสิ่งแวดล้อมและแรงงาน จากทั้งองค์กรและคู่ค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน
- Check: ตรวจสอบความเสี่ยงในทุกกิจกรรมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างต่อเนื่อง
- Change: ปรับกระบวนการผลิตและบริหารจัดการให้ยั่งยืนมากขึ้น เช่น ใช้วัสดุรีไซเคิล พลังงานสะอาด และแรงงานถูกกฎหมาย
- Capture: คว้าโอกาสการค้าและการลงทุนในตลาดอียู รวมถึงภูมิภาคอื่นๆ ที่กำลังเดินตามทางแนวทางนี้
ดร. พิมพ์นารา กล่าวในท้ายที่สุด CSDDD อาจถูกมองว่าเป็นต้นทุน แต่แท้จริงแล้วคือโอกาสในการยกระดับศักยภาพของธุรกิจไทยสู่มาตรฐานสากล
“หากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าห่วงโซ่อุปทานโปร่งใส เป็นธรรม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงจะช่วยรักษาตลาดเดิม แต่ยังเปิดประตูสู่ความร่วมมือและการลงทุนใหม่ๆ ในอนาคต ดังนั้น การเตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อให้ “ผ่านเกณฑ์” แต่เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศไทยในระยะยาว”