มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ Sustainability Forum 2025 เผยสูตรตรเดียวที่จะเปลี่ยนวิกฤตโลกให้เป็นทางออกที่ยั่งยืนของไทยได้จริง

โมเดลที่พิสูจน์แล้วว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่คำสัญญา แต่คือผลลัพธ์ที่จับต้องได้ทางการเงิน สิ่งแวดล้อมดีขึ้น เช่นเดียวกับสังคม

กันยายน 23,2025…มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดเวที MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้ธีม “วิกฤตโลก ทางออกไทย” เวทีเสวนาแห่งปีที่ชวนทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกันหาทางออกด้านความยั่งยืนของประเทศไทยท่ามกลางความท้าทายระดับโลก

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เน้นย้ำถึงบทบาทของชุมชนเป็นหัวใจของการขับเคลื่อน พร้อมเผยว่าการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 4 เท่า สะท้อนพลังความร่วมมือที่สร้างผลลัพธ์จริง ไม่ใช่แค่แนวคิดบนกระดาษ

พร้อมเน้นย้ำ 7 ประเด็นสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการขับเคลื่อนต่อไป

พร้อมกันนี้ ปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ดร. สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature-based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมเวที “วิกฤติโลก ทางออกไทย” แลกเปลี่ยนมุมมอง

โลกภายนอกกำลังเผชิญวิกฤตการณ์หลายด้านพร้อมกัน ทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สงคราม และนโยบายการค้า ที่กดดันเศรษฐกิจโลกและทำให้การลงทุนด้าน ESG ชะลอตัวลง ขณะที่ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แบบจำลองเศรษฐกิจที่วัดด้วย GDP ไม่ได้สะท้อนต้นทุนจริงของบริการระบบนิเวศ ทำให้เกิดต้นทุนแฝงมหาศาล ช่องว่างทางการเงินด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance Gap) ยังถ่างกว้าง หากต้องการจำกัดโลกร้อนไว้ที่ 1.5 องศา จะต้องการเงินลงทุนมหาศาลถึง 4.4–6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า และเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2050 สำหรับไทยยังปล่อยคาร์บอน 1.1% ของโลก แต่ลงทุนเพียง 0.4% ขณะที่ภาคการผลิตและเกษตรยังขาดเงินทุน แม้จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

เพื่อลดความเสียหายและสร้างโอกาสใหม่ ไทยจำเป็นต้องเร่งลงทุนและปรับตัว หากโลกร้อนขึ้นถึง 3.2 องศา จะสร้างความเสียหายมากถึง 18% ของ GDP โลก ขณะที่ไทยเองจะกระทบไม่น้อยกว่า 4.4% ของ GDP และ 4.5% ของการส่งออก เป้าหมาย Net Zero 2050 ต้องการเงินลงทุนกว่า 15 ล้านล้านบาทในช่วงปี 2023–2030 ซึ่งส่วนใหญ่ต้องมาจากภาคเอกชน ภาคการเงิน เช่น ธนาคารกสิกรไทย เริ่มขยับด้วยการตั้งเป้าลดคาร์บอนขององค์กรและพอร์ตสินเชื่อ ควบคู่กับการเพิ่มสินเชื่อสีเขียวจาก 2 แสนล้านเป็น 5 แสนล้านบาทภายในปี 2030 พร้อมเปิดตัวเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุน SME และผู้ประกอบการ เช่น K Climate 1.5 สำหรับวัดคาร์บอน, K Green Space สำหรับเชื่อมโยงโซลูชัน และ K Green Pass สำหรับซื้อขาย Renewable Energy Certificate (REC) ของผู้ติดตั้งโซลาร์รายเล็ก

พิธีส่งมอบคาร์บอนเครดิตจำนวน 43,123 tCO₂e จากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ” ซึ่งครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ คือหลักฐานเชิงประจักษ์ของการทำงานร่วมกันระหว่าง 14 หน่วยงานและเครือข่ายป่าชุมชน ภายใต้แนวคิด “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่ดำเนินงานต่อเนื่องมากว่า 5 ปี ฟื้นฟูพื้นที่กว่า 250,000 ไร่ ไม่เพียงแต่กักเก็บคาร์บอนและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ยังยกระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจท้องถิ่น