โมเดลคาร์บอนเครดิต Mae Fah Luang Foundation – SD Perspectives : Sustainability Media in Thailand โมเดลคาร์บอนเครดิต Mae Fah Luang Foundation – SD Perspectives : Sustainability Media in Thailand

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ส่งโมเดลคาร์บอนเครดิตเพื่อเศรษฐกิจฐานราก

จากเชียงดาวสู่เป้าหมาย Net Zero 

พฤศจิกายน 23,2025…เมื่อการดูแลป่ากลายเป็นอาชีพสุจริตของคนไทย และความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงนโยบายบนเวที แต่คือรายได้จริงที่เติบโตอยู่กลางภูเขา

ระหว่างเดินเข้าป่าชุมชน ไม่ได้รับลมเย็น แต่กลายเป็นฝนต้นเดือนพฤศจิกายน บริเวณรอบดอยหลวงเชียงดาว สร้างความชุ่มชื้นให้ไม้ใหญ่ที่ยืนต้นอยู่คู่ชุมชนมาหลายสิบปี ที่บ้านหัวทุ่ง

บ้านหัวทุ่งคือหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ของ 1 ในป่าชุมชน ที่นี่คือ “ต้นน้ำ” ของแม่น้ำปิง สายน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนเมืองเชียงใหม่ ลำพูน และพื้นที่เศรษฐกิจปลายน้ำฝั่งเจ้าพระยา

แต่สำหรับคนที่นี่ ป่าไม่ใช่แค่ทัศนียภาพ และไม่ใช่เพียงทรัพยากรที่ต้องปกป้องเพื่อคนเมือง หากคือ รายได้ ศักดิ์ศรี และอนาคตของลูกหลาน การเปลี่ยนผ่านนี้เกิดขึ้นเมื่อ “การดูแลป่า” ถูกยกระดับเป็น “อาชีพสุจริต” ผ่านโมเดลคาร์บอนเครดิตของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ส่งมอบคาร์บอนเครดิตระยะที่ 1 จำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งถือเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย จากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ: การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2564 ครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ให้แก่ 7 องค์กรเอกชน ในงาน MFLF Sustainability Forum 2025 “วิกฤตโลก ทางออกไทย” ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

“คาร์บอนเครดิตไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มันคือกลไกที่ทำให้คนที่ทำจริงได้ประโยชน์จริง เราอยากให้ชุมชนลุกขึ้นมาเป็นเจ้าของข้อมูล เจ้าของผลลัพธ์ และเจ้าของอนาคตของป่า”

ประเทศไทยเร่งเป้าหมาย Net Zero จากปี 2065 มาเป็นปี 2050 เร็วขึ้นถึง 15 ปี ทำให้ “ป่าไม้” กลายเป็นพระเอกของประเทศในสมรภูมิ Climate Change ชุมชนคือด่านหน้าที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการดูดซับคาร์บอนให้ได้กว่า 118 ล้านตัน CO₂ ต่อปี

ดร.ธนพงศ์ ดวงมณี ผู้อำนวยการด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ (ซ้าย) และ สมิทธิ หาเรือนพืชน์ Head of Nature-based Solutions and Special Projects มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

สมิทธิ กล่าวต่อเนื่อง ปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่กว่า 287,000 ไร่ ดูแลโดยชุมชนมากกว่า 300 ชุมชนใน 12 จังหวัด ในภาคเหนือ อีสาน กลาง และใต้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 150,000 คน และได้รับแรงสนับสนุนจากภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจมากกว่า 30 องค์กร ตัวชี้วัดเชิงพื้นที่ยืนยันผลลัพธ์จริงพื้นที่เสียหายจากไฟป่าของพื้นที่โครงการระยะที่ 1–2 ลดจากค่าเฉลี่ย 12% เหลือ 4% (พ.ศ. 2567) ส่วนระยะที่ 3 ลดจาก 8% เหลือ 3% สะท้อนประสิทธิภาพการดูแลป่าอย่างต่อเนื่องทั้งฤดูไฟและนอกฤดูไฟ

วัดขนาดต้นไม้:วัดเส้นรอบวงของต้นไม้ที่มีขนาด 14.2 ซ.ม.ขึ้นไป ณ ตำแหน่งตรวจวัดที่ระดับความสูง 1.30 เมตร จากพื้นดิน และวัดความสูงของต้นไม้โดยไม้วัดความสูงหรือกล้องวัดความสูง และทำการพ่นสีตรงตำแหน่งที่ตรวจวัด
ทำการจดบันทึกข้อมูลรายต้นของต้นไม้ หมายเลขกำกับ ชนิดพรรณไม้ ค่าเส้นรอบวง ค่าความสูง การระบุหมายเหตุ

ความสำเร็จเห็นเป็นรูปธรรมตัวอย่างอีก 1 แห่ง เห็นได้จากบ้านหัวทุ่ง ชุมชนเล็ก ๆ ที่สร้างแบบจำลองแห่งอนาคตขึ้นแล้ว

ชาวบ้านดูแลป่าชุมชน 884 ไร่ และได้รับค่าตอบแทนไร่ละ 300 บาทต่อปีตั้งแต่วันแรกที่เข้าร่วมโครงการ เงินนี้ไม่ใช่เงินแจก แต่เป็น “รายได้จากการอนุรักษ์” ตามผลลัพธ์จริง ทั้งการลาดตระเวน ดูแลแนวกันไฟ ทำฝายชะลอน้ำ เก็บข้อมูลพื้นที่ และดูแลระบบนิเวศต้นน้ำ

“เราทำให้การดูแลป่ากลายเป็นงานที่มีค่าตอบแทน มีระบบตรวจวัดและทวนสอบได้ คือ Measurement, Reporting and Verification หรือ MRV และธรรมาภิบาล ทำให้การดูแลป่ากลายเป็นอาชีพสุจริตที่ยกคุณภาพชีวิตคนและต่ออายุป่า จึงเกิดความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งชุมชนและผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต”

เงินที่ไหลกลับเข้าสู่ชุมชนไม่ได้หยุดแค่ค่าแรงดูแลป่า แต่ยังถูกนำไปพัฒนานวัตกรรมของชุมชน มีการแปรรูปไผ่เป็นผลิตภัณฑ์จักสาน เศษไม้กลายเป็นถ่านดูดกลิ่นและวัสดุปรับปรุงดิน ผู้สูงอายุปลูกผักปลอดภัย และทั้งหมู่บ้านใช้ก๊าซชีวภาพจากขี้หมูในราคาประหยัด งานใหม่เกิดขึ้น รายได้ใหม่ตามมา และแรงงานรุ่นใหม่เริ่มกลับบ้าน

แม่หลวงศิริวรรณ ศรีเงิน ประธานป่าชุมชนบ้านหัวทุ่ง

ป่าชุมชนในเชียงดาวได้รับการดูแลจากคนในพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2540 และได้รับการสนับสนุนเชิงระบบจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ทำให้การบริหารจัดการป่าเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งการป้องกันไฟป่า การลาดตระเวน และการอนุรักษ์ต้นน้ำ ส่งผลให้จุดความร้อนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ป่าฟื้นตัวและเพิ่มศักยภาพการกักเก็บคาร์บอน ควบคู่กับการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจปลายน้ำ การดำเนินงานทั้งหมดโปร่งใส ผ่านประชาคมและการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้ชุมชนเป็น เจ้าของข้อมูล เจ้าของป่า และเจ้าของอนาคตของตนเอง อย่างแท้จริง

คาร์บอนเครดิตทำให้การดูแลป่ากลายเป็นงานที่มีรายได้สุจริต รายได้ส่วนหนึ่งถูกนำไปตั้งกองทุนดูแลป่าและพัฒนาชุมชน ทำให้เกิดอาชีพเสริมอย่างจักสาน ถ่านชีวภาพ และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ 

ขณะเดียวกัน บทบาทของ “ผู้หญิง”ในพื้นที่ก็โดดเด่นขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งการเป็นผู้นำหมู่บ้าน การจัดการข้อมูล และการลาดตระเวนตรวจไฟป่า ซึ่งพิสูจน์ว่า “การอนุรักษ์” ไม่ได้เป็นหน้าที่เฉพาะผู้ชาย แต่คือการรวมพลังจากหลากหลายเพศและวัย โครงการนี้จึงไม่เพียงช่วยให้ป่ายั่งยืน แต่ยังสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและโอกาสใหม่ให้กับคนตัวเล็กบนภูเขา

เธอบอกกับเราด้วยแววตาแห่งความภูมิใจว่า

“เราอยากให้ลูกหลานรู้ว่าป่านี้คืออนาคตของเขา ถ้าเขาดูแลป่า ป่าก็จะดูแลเขากลับ ไม่มีใครต้องทิ้งบ้านเกิดไปหาอนาคตข้างนอกอีกต่อไป การมีส่วนร่วมของเยาวชนในงานป่าคือกุญแจสำคัญของการฟื้นฟูระบบนิเวศ เพราะป่าจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อคนรุ่นถัดไปเห็นคุณค่าสิ่งเดียวกับรุ่นก่อน และสร้างอนาคตของตัวเองได้จากมัน”

“ป่าฟื้นขึ้นเพราะคนมีรายได้ คนอยู่ได้อย่างสุจริต ป่าจึงอยู่ได้อย่างยั่งยืน”

ด้านสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์ของบ้านหัวทุ่งและเครือข่ายสะท้อนชัดว่า เมื่อชุมชนป้องกันไฟป่าเชิงรุก พื้นที่ถูกเผาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ลดทั้งความเสี่ยง PM2.5 และการสูญเสียคาร์บอนที่กักเก็บในป่า ป่าที่ฟื้นตัวช่วยคงสมดุลความหลากหลายทางชีวภาพ ซึมซับน้ำ ลดการพังทลายของดิน และรักษาคุณภาพน้ำของประเทศให้มั่นคง เมื่อป่าต้นน้ำแข็งแรง เศรษฐกิจที่พึ่งพาทรัพยากรน้ำ ตั้งแต่เกษตร การท่องเที่ยว ไปจนถึงเมืองปลายน้ำ ก็มั่นคงตามไปด้วย นี่คือประโยชน์สาธารณะที่ประชาชนทั่วประเทศได้รับร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต

สินค้าจากชุมชน 1

ด้านเศรษฐกิจของชุมชน คาร์บอนเครดิตทำหน้าที่เป็น “แรงจูงใจที่ยุติธรรม” ให้คนดูแลป่ามีรายได้สุจริต ราคาซื้อขายในตลาดสมัครใจโดยทั่วไปอยู่ที่หลักพันบาทต่อตัน CO₂e (อ้างอิงราว 2,000 บาท/ตัน ขึ้นกับปีวินเทจและคุณภาพข้อมูล) รายได้ที่ขายได้จะกลับเข้าสู่สองกองทุนของหมู่บ้าน ทั้งกองทุนดูแลป่าและกองทุนพัฒนาชุมชน เพื่อจ้างงาน ฟื้นฟูระบบนิเวศ และสร้างอาชีพต่อยอด เกิดวัฏจักรเศรษฐกิจใหม่ในป่า “เงินจากป่า เพื่อคนรักษาป่า” ที่ทำให้การอนุรักษ์เดินหน้าต่อได้ด้วยพลังของชุมชนเองอย่างยั่งยืน

สินค้าจากชุมชน 2

ผลลัพธ์ของบ้านหัวทุ่งจึงไม่ได้เป็นเพียง “เรื่องดี ๆ ในท้องถิ่น”แต่กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของประเทศ

คาร์บอนเครดิตที่ถูกซื้อโดยภาคเอกชน ไม่ได้ซื้อเพื่อชดเชยรอยเท้าคาร์บอนเท่านั้น หรือ ผู้ซื้อได้ลดคาร์บอน   แต่ซื้อเพื่อยืนยันคุณค่าของคนที่รักษาป่ามาตลอดชีวิต ชุมชนได้งาน ป่าได้โอกาสหายใจกลับมา

นี่คือ เศรษฐกิจป่าชุมชน ต่อยอดจากภูมิปัญญาไทย ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลธรรมาภิบาล ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

นี่คือคำตอบของคำถามใหญ่ระดับโลก ที่ว่า จะทำให้ Climate Action เป็นธรรมต่อคนตัวเล็กได้อย่างไร?

ตัวอย่างจากบ้านหัวทุ่งกำลังบอกกับทุกคนว่า คำตอบอยู่บนภูเขา คำตอบอยู่ในมือของคนที่ถือจอบ ถือเครื่องมือวัดความสูงต้นไม้ และถือความหวังของประเทศไว้ในหัวใจ

เพราะเมื่อคนกับป่าเติบโตไปพร้อมกัน ความยั่งยืนก็ไม่ใช่คำคุยบนเวที แต่เป็นชีวิตจริงของคนไทย