ธันวาคม 5,2025…ฝรั่งเศส ‘มุ่งมั่น’ ช่วยอุตสาหกรรมไวน์จากวิกฤต แต่แผนส่งผลเสียหรือไม่ ฝรั่งเศสขอความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป หลังประกาศให้เงินทุนเพิ่มเติม เพื่อช่วยกอบกู้อุตสาหกรรมไวน์ที่กำลัง “เสื่อมโทรม”
ปลายเดือนพฤศจิกายน กระทรวงเกษตรฝรั่งเศสยืนยันว่า จัดสรรเงิน 130 ล้านยูโร เพื่อ “ปรับสมดุลอุปทาน” และ “ฟื้นฟูความยั่งยืน” ของฟาร์มที่กำลังประสบปัญหาในภูมิภาคที่เปราะบางที่สุด
กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการตัดต้น และถอนรากออกจากดิน โดยปกติจะใช้อุปกรณ์พิเศษเฉพาะ และอาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 ยูโรต่อเฮกตาร์
แอนนี เจนีวาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและอาหาร ได้ขอให้คริสอฟ แฮนเซน กรรมาธิการยุโรปด้านการเกษตรและอาหาร จัดหาเงินทุนสำหรับการกลั่นสินค้าส่วนเกินที่ไม่สามารถจำหน่ายได้ในภาวะวิกฤต ซึ่งในกรณีนี้ อุปทานส่วนเกินจะถูกนำไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์สำหรับใช้ในอุตสาหกรรม แทนที่จะนำไปบริโภค
เบื้องหลังวิกฤตไร่องุ่นของฝรั่งเศสคืออะไร?
แอนนี เจนีวาร์ กล่าวว่าประเทศซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตไวน์รายใหญ่ที่สุด เป็นที่ตั้งของไร่องุ่น พื้นที่ 11 % ของโลกเผชิญวิกฤตอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว เธอชี้ถึงปัญหา 3 เรื่อง รวมถึง “ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ”
เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรป 200% เมื่อต้นปีนี้ ซึ่งถูกยกเลิกไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ภาษีนำเข้า 15% สำหรับสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมไวน์ฝรั่งเศส ได้ประกาศใช้ในหลายเดือนต่อมา
ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่า ภาษีศุลกากรดังกล่าว เมื่อรวมกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อาจทำให้รายได้จากการขายไวน์และสุราประจำปีของฝรั่งเศสลดลงประมาณ 1,000 ล้านยูโร
การบริโภคไวน์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไวน์แดง ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤตไร่องุ่นในฝรั่งเศสปีที่แล้ว การบริโภคไวน์ทั่วโลกลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 60 ปี ขณะที่ผลสำรวจหลายฉบับชี้ให้เห็นว่าคนรุ่น Gen Z (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 1997 ถึง 2021) กำลังหันหลังให้กับแอลกอฮอล์โดยสิ้นเชิง
ยิ่งกว่านั้น แอนนี เจนีวาร์ กล่าวว่า ภาคส่วนต่างๆ ประสบปัญหาจากโลกรวนซึ่ง “ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวซ้ำแล้วซ้ำเล่า” เป็นเวลาหลายปี
“ความพยายามทางการเงินครั้งใหม่ที่สำคัญนี้ แม้ด้านงบประมาณจะมีความซับซ้อนเป็นพิเศษ และต้องอยู่ภายใต้การรับรองร่างกฎหมายการเงิน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการช่วยเหลืออุตสาหกรรมไวน์ของเราในระยะยาว และช่วยให้ฟื้นตัวได้ นี่ไม่ใช่แผนฉุกเฉินอีกฉบับเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลเชิงโครงสร้าง แต่เป็นการลงทุนในภาคส่วนไวน์ของเราและสำหรับเกษตรกรในพื้นที่การผลิตเหล่านี้” รัฐมนตรีกล่าว
แนวคิดการเลิกปลูกไร่องุ่นไม่ใช่เรื่องใหม่ ปิแอร์ เม็ตซ์ หุ้นส่วนในไร่องุ่น Domaine Alain Chabanon ใน Terrasse du Larzac ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส กล่าวกับ Euronews Green ว่า ปัญหาในปัจจุบันคือการผลิตไวน์มากเกินไป การบริโภคลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะไวน์แดงซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มไวน์ระดับเริ่มต้น
“ผู้บริโภคที่อายุน้อยกว่ามีแนวโน้มที่จะดื่มไวน์น้อยลง ซึ่งผลักดันให้ผู้ขายลดราคาลง และส่งผลให้ราคาในระดับผู้ผลิตลดลงตามไปด้วย”
เมตซ์ อธิบายว่า ขณะนี้สำหรับไวน์บอร์โดซ์ 1 ลิตร ผู้ผลิตจะได้รับเงินเพียง 0.80 ยูโร เท่านั้น
“วิธีแก้ปัญหาที่กลุ่มล็อบบี้ผู้ผลิตเสนอคือการลดการผลิต ไร่องุ่นที่ไม่ได้ผลผลิตยังคงต้องเสียเงินเพื่อดูแลรักษา หลีกเลี่ยงโรคระบาด เนื่องจากจริงๆ แล้วมีเงินค่าปรับที่ต้องชำระหากคุณไม่ดูแลรักษาไร่องุ่นของคุณ”
การเลิกปลูกองุ่นยังมีความเสี่ยงอื่น ๆ ด้วย เรื่องสำคัญ คือ ความเสี่ยงจากการเกิดไฟป่า การถอนรากไร่องุ่นอย่างถาวรมาพร้อมกับความเสี่ยงต่าง ๆ มากมาย รวมถึงการรบกวนสัตว์ป่าและเป็นอุปสรรคต่อการป้องกันไฟป่า
ยุโรปกำลังเผชิญกับไฟป่ามากกว่าที่เคย เนื่องจากภัยแล้งที่เกิดจากโลกร้อนและอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้หลายภูมิภาคทั่วทวีปมีความเสี่ยงมากขึ้น คณะกรรมาธิการยุโรปคาดการณ์ว่าพื้นที่เสี่ยงต่อไฟป่าในฝรั่งเศสเพียงแห่งเดียวจะเพิ่มขึ้น 17 % ภายในปี 2040
อย่างไรก็ตาม การบำรุงรักษาไร่องุ่นอย่างเหมาะสมอาจเป็นส่วนหนึ่งของวิธีแก้ปัญหาได้ เนื่องจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าแปลงองุ่นสามารถทำหน้าที่เป็น “แนวกันไฟ” โดยการสร้างช่องว่างระหว่างเปลวเพลิง และชะลอการลุกลามของเปลวไฟ
“การศึกษาวิจัยในพื้นที่เสี่ยงไฟไหม้แสดงให้เห็นว่าไฟป่ามักจะหยุดลงที่ขอบไร่องุ่นที่ได้รับการดูแลอย่างดี โดยเว้นระยะห่างระหว่างแถวองุ่นไม่ให้มีพืชที่ติดไฟได้มากเกินไป” ข้อมูลกรมเกษตรและการพัฒนาของสหภาพยุโรประบุ
เมตซ์อธิบายว่าความเสี่ยงจากไฟป่าสามารถบรรเทาได้ด้วยการปลูกพุ่มไม้ ไถพรวนดินที่รกร้าง และดูแลรักษาโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้จะทำให้เกิดต้นทุนสูง ซึ่งไร่องุ่นที่เลือกที่จะยกเลิกปลูกออกอาจไม่สามารถแบกรับได้
โลกร้อนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไวน์อย่างไร?
เมตซ์กล่าวว่า “โลกร้อนเป็นประเด็นที่เจ้าของไร่องุ่นต้องเผชิญทุกวัน” พร้อมชี้ให้เห็นว่า ช่วงเกิดอากาศร้อนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ฤดูร้อนนี้ หลายพื้นที่ของฝรั่งเศสถูกประกาศเตือนภัยความร้อนสูงเนื่องจากอุณหภูมิในบางพื้นที่ของเมืองCharente และ Aude พุ่งสูงถึง 43 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่ร้อนจัดนี้ถูกระบุว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ ที่เผาผลาญพื้นที่ 160 ตารางกิโลเมตรในเมือง Aude
“คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาเรื่องน้ำ เนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนน้อยลงและปริมาณน้ำใต้ดินสำรองก็ลดลงทุกปีพื้นที่ผลิตขนาดใหญ่บางแห่งสามารถอยู่รอดได้ด้วยการชลประทานเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อขาดแคลนน้ำ” เมตซ์กล่าวเสริม
เดือนมิถุนายน สำนักงานภัยแล้งแห่งยุโรป (European Drought Agency) ระบุว่า พื้นที่หนึ่งในสามยุโรปของกำลังประสบภาวะภัยแล้ง พื้นที่ 10 % ของยุโรปอยู่ในภาวะวิกฤต ในฝรั่งเศส ประชาชนในเขตเทศบาลกว่า 30,000 คนประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ
ต่างจากผู้ผลิตจำนวนมาก เมตซ์เลือกที่จะไม่รดน้ำองุ่นของเขาหรือใช้ปุ๋ย ซึ่งเขาบอกว่าปุ๋ยจะบังคับให้พืช “ใช้สัญชาตญาณเอาตัวรอด” และ “ดันไปที่รากเพื่อค้นหาน้ำใต้ดิน”
เขาย้ำว่าผู้ผลิตไวน์ที่ดีไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้อง และควรมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
“ความช่วยเหลือที่แท้จริงคือ การผลักดันให้เพิ่มคุณภาพ โดยลดผลผลิตต่อเฮกตาร์ เพราะว่าการเลิกผลิตจะเหมือนกับการทำเรื่องเล็กๆ แต่ไม่ได้ช่วยผู้ผลิตส่วนใหญ่เลย” เมตซ์กล่าวในท้ายที่สุด
ที่มา euro news









