Adaptation x Collaboration แสดงถึงความจำเป็นของการร่วมมือและปรับตัวเพื่อความยั่งยืนในอนาคต Adaptation x Collaboration แสดงถึงความจำเป็นของการร่วมมือและปรับตัวเพื่อความยั่งยืนในอนาคต

Adaptation x Collaboration อีกคู่ของกุญแจขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มี 4 ข่าว สะท้อนบทเรียนและแนวทางนี้ได้มากพอสมควร

สิงหาคม 30-31,2025…โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายซับซ้อน ทั้งวิกฤติภูมิอากาศ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และการบริโภคที่กระทบสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหาไม่อาจอาศัย “การบรรเทา” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย การปรับตัว (Adaptation) เพื่อรับมือกับสภาวะใหม่ และ ความร่วมมือ (Collaboration) ระหว่างหลายภาคส่วนเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ความยั่งยืนจึงไม่ใช่เรื่องขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่คือการรวมพลังของรัฐ เอกชน ชุมชน และผู้บริโภค

ต้องใจ ธนะชานันท์ ผู้อำนวยการคณะจัดงาน Sustainability Expo 2025 (SX 2025) 26 กันยายน ถึง 5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เวทีด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมขยายแพลตฟอร์มความร่วมมือไปยังเครือข่ายนานาชาติจะเปิดฉากภายใต้ธีม Collaboration & Adaptation ตอกย้ำความสำคัญของ “การร่วมมือ” และ “การปรับตัว” เพื่อรับมือกับโลกที่ผันผวน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเทคโนโลยี

ภายในงานมีการนำเสนอวิสัยทัศน์หลากหลาย ตั้งแต่การยอมรับว่าการ “บรรเทา” (Mitigation) อาจไม่เพียงพอในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ไปจนถึงการเตรียมพร้อมต่อผลกระทบหากอุณหภูมิพุ่งทะลุ 2–2.5 องศา ซึ่งอาจทำให้ระบบภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง กระทบทั้งยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญของไทยอย่างอยุธยา

Collaboration ที่มากกว่าคำพูด

ต้องใจย้ำว่าการสร้างความยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือในทุกระดับ ตั้งแต่ภาคธุรกิจ ภาครัฐ จนถึงประชาชน รวมเครือข่ายนานาชาติทั่วไป ซึ่งในปีนี้มีพันธมิตรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งยุโรป จีน ญี่ปุ่น และประเทศในอาเซียน พร้อมการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ที่นำไปสู่การลงทุนและนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม

“Collaboration ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่วันนี้เราต้องเน้นย้ำ เพราะโลกผันผวนเกินกว่าจะทำคนเดียวได้ SX Expoเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้เกิดความร่วมมือจริง และปีนี้เราอยากให้ทุกคนอย่าลืมพลังของการทำงานร่วมกัน”

Adaptation รับมือโลกที่เปลี่ยนไป

ต้องใจกล่าวต่อเนื่อง นอกจากความร่วมมือแล้ว “การปรับตัว” คือคำสำคัญของปีนี้ หากโลกไม่เร่งวางแผนระยะยาว ทั้งการจัดการเมือง เกษตรกรรม และการดูแลสังคมสูงวัย ไทยอาจเผชิญวิกฤติอย่างหนักในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ที่เสี่ยงจมน้ำ หรือภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่พุ่งสูง

“ที่ผ่านมาเรามักพูดถึงการลดผลกระทบ (Mitigation) แต่วันนี้ไม่พออีกต่อไปแล้ว เราจำเป็นต้องเร่ง Adaptation ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเทคโนโลยี เพื่อให้สังคมไทยพร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง”

SEP สู่แรงบันดาลใจระดับโลก

SX Expo 2025 ยังหยิบยก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) มาเป็นแรงบันดาลใจ โดยพยายามสื่อสารให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น การแปลคำว่า “Sufficiency” เป็น “Enough” เพื่อชวนให้สังคมโลกตั้งคำถามว่า “พอแค่ไหนถึงจะพอ”

เป้าหมายสูงสุดของงานคือการผลักดัน SEP ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

“เราอยากเห็น SEP ถูกเข้าใจในระดับโลก ไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงนโยบาย แต่เป็นวิถีปฏิบัติจริงที่ทำให้โลกอยู่ได้อย่างยั่งยืน”

SX Expo 2025 เวทีที่สร้างผลลัพธ์จริง

ปีนี้งาน SX มีผู้เข้าร่วมจาก 32 ประเทศ รวมถึงนักศึกษาไทยและต่างชาติจำนวนมาก ตั้งเป้าผู้เข้าชมงานกว่า 900,000 คน ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ งานยังคงเดินหน้าสู่ Carbon Neutral ผ่านการรีไซเคิล การจัดการขยะ และการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) โดยปีที่ผ่านมา งาน SX สามารถชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 5,000 ตัน

นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ที่ผู้เข้าร่วม “ได้ลงมือทำจริง” เช่น การแยกขยะ และการเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงนวัตกรรมเพื่อการปรับตัวในชีวิตประจำวันอย่างเครื่องย่อยขยะและโซลาร์เซลล์

SX Expo 2025 ไม่ใช่แค่เวทีจัดแสดง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนแนวคิดสู่การลงมือทำจริง โดยใช้พลังของ Collaboration และ Adaptation ขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืน

นายแพทย์กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์วุฒิเดช โอภาศเจริญสุข นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย โรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets ธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ร่วมกล่าวถึงความมือครั้งสำคัญนั่นคือ

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย และบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดตัว “โครงการความร่วมมือสู่เครือข่ายความเป็นเลิศด้านการคัดกรองโรคไต” ครั้งแรกของประเทศ ภายใต้โครงการ “คนไทย 7.2 ล้านคนรู้ค่าความเสี่ยงโรคไต” อันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ โดยตั้งเป้าคัดกรองประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศให้ครบ 7.2 ล้านคน ภายในปี พ.ศ. 2570

โครงการดังกล่าวเป็น Collaboration ระหว่างหน่วยงานรัฐ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และภาคเอกชน เพื่อตอบโจทย์การ Adaptation ของระบบสาธารณสุขไทยที่ต้องรับมือกับภาระโรคเรื้อรังที่ซับซ้อน โดยจะขับเคลื่อนผ่าน 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่

1.การพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ป่วย (CKD Registry) และโปรแกรม CKD Dashboard เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดูแลรักษาและงานวิจัย

2.การสนับสนุนการตรวจคัดกรองด้วยแผ่นทดสอบปัสสาวะ (Urine Dipsticks) มาตรฐานสากล ที่สะดวก รวดเร็ว และคุ้มค่า

3.การเสริมสร้างองค์ความรู้แก่ อสม. เพื่อเชื่อมโยงการเข้าถึงสู่ระดับชุมชนและสร้างการตระหนักรู้เชิงรุกในวงกว้าง

“ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศที่มีอัตราโรคไตเรื้อรังสูงที่สุด ปัจจุบันมีผู้ป่วยกว่า 9.7 ล้านคน และแนวโน้มยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การร่วมมือครั้งนี้คือก้าวสำคัญที่จะทำให้เราสามารถคัดกรองเชิงรุกได้อย่างครอบคลุม ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน”

โรคไตเรื้อรังเป็นภัยเงียบที่ผู้ป่วยมักรู้ตัวเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้าย ทำให้รัฐต้องใช้งบประมาณกว่า 26,000 ล้านบาทต่อปี การตรวจคัดกรองเชิงรุกคือทางออกที่แท้จริง ความร่วมมือระดับชาติครั้งนี้จะช่วยสร้างระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน และปกป้องสุขภาพของคนไทยในระยะยาว

ชุดทดสอบปัสสาวะ (Urine Dipsticks)

โรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets พันธมิตรเอกชนขับเคลื่อนนวัตกรรมกล่าวว่า

“การรับมือกับโรคไตเรื้อรังจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การคัดกรองตั้งแต่ระยะแรกคือกุญแจสำคัญในการลดภาระโรคและยกระดับคุณภาพชีวิต แอสตร้าเซนเนก้าภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรในโครงการครั้งประวัติศาสตร์นี้ พร้อมสนับสนุนนวัตกรรมและองค์ความรู้เพื่อเสริมศักยภาพการคัดกรองและการดูแลรักษาอย่างครอบคลุม”

ก้าวสู่ระบบสาธารณสุขที่แข็งแรงและยั่งยืน

โครงการความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ประเทศไทยมีระบบคัดกรองโรคไตเชิงรุกที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับชุมชนถึงระดับประเทศ ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษา และสร้างการตระหนักรู้ในสังคม ขณะเดียวกันยังเป็นการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสเจริญพระชนมายุ 72 พรรษาของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ยูนิลีเวอร์ ผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลก เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2582 ด้วยความสำเร็จลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ 2 ได้แล้ว 72% ตั้งแต่ปี 2558 โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ยกระดับการจัดการห่วงโซ่อุปทานและพลาสติก ตอกย้ำพันธกิจการเติบโตที่มั่นคง พร้อมสร้างคุณค่าเพื่อโลกและสังคมอย่างยั่งยืน

ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายสื่อสารองค์กร องค์กรสัมพันธ์ และความยั่งยืน กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวถึงความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมยูนิลีเวอร์ พัฒนาสู่สูตรผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติ ปลอดสารตกค้าง ย่อยสลายได้เองในน้ำ และลดการใช้ Virgin Plastic ลง 40% ผ่านบรรจุภัณฑ์รีฟิลและการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (rPET) พร้อมทั้งนำ Flexible Packaging ที่ยังไม่สามารถรีไซเคิลในไทยเข้าสู่กระบวนการ Waste to Energy

พลังความร่วมมือสู่ Circular Economy

ยูนิลีเวอร์จัดเก็บขยะพลาสติกหลังการบริโภคได้มากกว่า 110% ของที่ผลิตออกสู่ตลาด โดยร่วมมือกับ โรงงานรีไซเคิล ซาเล้ง และเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งผลักดันกฎหมาย EPR (Extended Producer Responsibility) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตทุกแบรนด์รับผิดชอบต่อบรรจุภัณฑ์ของตนเอง

ปัจจุบัน 57% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกจากยูนิลีเวอร์สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ โดยภายใต้โครงการ Bright Future ซึ่งต่อยอดมาจาก Clean Future ที่ริเริ่มแนวคิดเมื่อปี 2562 ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และส่วนผสมให้ยั่งยืนมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและย่อยสลายได้ อย่าง ซันไลต์ RHAMNO Clean เพื่อช่วยลด CO2 ในขอบเขตที่ 3 

ในภาคการเกษตรและห่วงโซ่อุปทาน ยูนิลีเวอร์ยังยืนยันว่า น้ำมันปาล์ม 100% ได้รับการรับรอง RSPO และติดตามแหล่งที่มาผ่านระบบ “Suzube” เพื่อป้องกันการทำลายป่าและแรงงานผิดกฎหมาย

ปรับใช้เทคโนโลยี AI ในทุกขั้นตอนห่วงโซ่คุณค่า

การใช้งานดังกล่าว เริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้ในท้ายที่สุด

นับเป็นการบูรณาการ AI ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวิจัยผลิตภัณฑ์จนถึงการผลิตและซัพพลายเชน ทำให้ระยะเวลาการผลิตสั้นลงจากหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่วัน ลดต้นทุนการจัดซื้อวัตถุดิบลงถึง 40%

ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์ Insight ผู้บริโภคเชิงลึก เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ

“AI คือเครื่องมือสำคัญที่เร่งให้การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง แต่ AI เองก็ต้องเชื่อมโยงกับพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้เป็น Sustainable AI อย่างแท้จริง”

ความท้าทายและเส้นทางสู่ Net Zero

ณัฏฐิณีชี้ว่า ความท้าทายหลักของประเทศไทยในการเดินหน้าสู่ Net Zero อยู่ที่ เงินทุน เทคโนโลยี และระบบโลจิสติกส์สีเขียว โดยเฉพาะการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน รถ EV และสถานีชาร์จไฟฟ้า ตลอดจนการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและ SMEs เพื่อมีส่วนร่วมในเป้าหมายร่วมกัน

“ความยั่งยืนไม่ใช่ต้นทุน แต่คือการลงทุนระยะยาวที่เรายินดีรับผิดชอบเอง โดยไม่ผลักภาระไปที่ผู้บริโภค ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือหัวใจที่ทำให้เป้าหมายนี้เกิดขึ้นจริง” ณัฏฐิณีกล่าวในท้ายที่สุด

การเปิดตัว รายงานความยั่งยืนฉบับที่ 26 เผยความสำเร็จครั้งสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 25% ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Scope 1, 2 และ 3) และมากถึง 54% ในการดำเนินงานของบริษัทเอง (Scope 1 และ 2) เมื่อเทียบกับปีฐาน 2562 โดยมีการใช้พลังงานหมุนเวียนแล้วกว่า 94%

ปรับตัวด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี

เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2573 (ลดการปล่อยใน Scope 1 และ 2 ลง 46%) และปี 2593 (ลดการปล่อยรวม Scope 1, 2, 3 ให้สุทธิเป็นศูนย์) เต็ดตรา แพ้คลงทุนในนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของลูกค้า เช่น

1.Tetra Pak® Tubular Heat Exchanger รุ่นใหม่ ที่อยู่ระหว่างจดสิทธิบัตร ด้วยเทคโนโลยี “Q corrugation” สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุด 40%

2.การปรับปรุงไลน์การผลิตนมที่ไม่ต้องแช่เย็น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 13% เมื่อเทียบกับปี 2566 และ 42% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2562

3.บรรจุภัณฑ์ปลอดเชื้อแบบ Paper-based Barrier เพิ่มสัดส่วนการใช้กระดาษ ลดการใช้อลูมิเนียม และลดการปล่อย GHG ได้มากถึง 33%

4.การขยายการใช้ Plant-based และ Recycled Polymers รวมถึงฝาติดกล่อง (Tethered Caps ซึ่งลูกค้าที่จะส่งสินค้าเข้ายุโรป เช่นกะทิ จะต้องใช้ฝาติดกล่องตามกฎหมายของยุโรป) โดยในประเทศไทยได้ส่งมอบแล้วกว่า 40 ล้านชิ้น

ความร่วมมือสร้างผลลัพธ์

1.การลดการปล่อย GHG ครอบคลุมถึง Scope 3 (ห่วงโซ่คุณค่า) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากที่สุด และต้องอาศัยความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน ได้แก่

2.ร่วมมือกับ ซัพพลายเออร์กว่า 150 ราย ผ่านโครงการ “Join Us in Protecting the Planet”

3.สนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยกว่า 84,000 รายใน 29 ประเทศ ให้มีรายได้มั่นคงและเข้าถึงตลาดที่ยั่งยืน

4.ส่งมอบนมและเครื่องดื่มในบรรจุภัณฑ์ของเต็ดตรา แพ้คแก่เด็กกว่า 66 ล้านคนใน 49 ประเทศ ผ่านโครงการโภชนาการในโรงเรียน

ในประเทศไทย มีกล่องบรรจุภัณฑ์กว่า 70,000 ตันต่อปี ถูกปล่อยสู่ตลาด ปัจจุบันสามารถเก็บกลับมารีไซเคิลได้กว่า 1.5–1.6% (ประมาณ 1,200 ตัน) จากที่ไม่เคยมีการเก็บเลยเมื่อ 3–4 ปีก่อน

(Left-Right) Surapong Kobpraditkul, Ratanasiri Tilokskulchai, Praeporn Amornpanupun, Patinya Silsupadol.

“ความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการสร้างระบบอาหารที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อมทั้งลดผลกระทบด้านสภาพอากาศและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ในขณะที่ความไว้วางใจจากลูกค้าในประเทศไทยที่เลือกนวัตกรรมของเรา คือแรงผลักดันให้เต็ดตรา แพ้คพัฒนาโซลูชันเพื่อปกป้องอาหาร ผู้คน และโลกต่อไป”

ความท้าทาย ก้าวต่อไป

Scope 1 และ 2: การลดการใช้พลังงานในโรงงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น (ปัจจุบันใช้แล้ว 94%)

Scope 3: การปล่อยจากห่วงโซ่คุณค่า ทั้งบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง และการกำจัดหลังการใช้ ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ ซึ่งต้องอาศัยนโยบายรัฐ เช่น กฎหมาย EPR (Extended Producer Responsibility) และการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานรีไซเคิล