ธันวาคม 6,2025…เมื่อเมล็ดข้าวในนา แกงในจาน และกาแฟในแก้ว ต่างเชื่อมเรื่องราวเดียวกัน พื้นฐานก่อรูป “Food Security Hub” จากฐานรากที่เป็นของตัวเองจริงๆ
ความรู้ชาวนา ความคิดสร้างสรรค์ของเชฟ เทศกาลที่ผลักดันอุตสาหกรรม และวัตถุดิบประณีตที่กำลังยืนขึ้นมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ให้ประเทศ
ในวันที่ Thailand Coffee Fest กลายเป็นเทศกาลปลายปีที่หลายคนเรียกว่า “งานประจำชาติของคอกาแฟ” ไปแล้ว งานคู่แฝดอย่าง Thailand Rice & Food Fest ก็กำลังพาตัวเองเดินเข้ามาอยู่ในตำแหน่งเดียวกันสำหรับ “ข้าวไทย” ไม่ใช่ในฐานะสินค้าเกษตรโภคภัณฑ์ราคาถูก แต่ในฐานะ “ข้าวประณีต” ที่มีรสชาติ คาแรกเตอร์ และเรื่องเล่าพร้อมขึ้นเวทีโลก เคียงข้างกาแฟพิเศษและเนื้อวากิว
ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการบริษัท คลาวด์แอนด์กราวนด์ ผู้จัดงาน Thailand Rice Fest 2025 นพ ธรรมวานิช ผู้ร่วมก่อตั้ง ศูนย์กลางความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และการวิจัยข้าวของประเทศไทย (Rice Hub) และ อัฐพล ไชยอนันต์ นายกสมาคมดิจิทัลเพื่อการศึกษาไทย (TDeD) ร่วมสนทนา”ข้าวประณีต”
บทสนทนานั้นไล่ตั้งแต่ความท้าทายของข้าวไทยในตลาดโลก ไปจนถึงภาพฝันว่า “ข้าวไทยทุกล็อตจะมี QR Code ของตัวเอง” และคำว่า “ข้าวประณีต” จะกลายเป็นคำไทยคำต่อไปที่คนทั้งโลกออกเสียงได้ติดปากไม่ต่างจากคำว่า Wagyu
จาก New Rice Economy สู่ “ข้าวประณีต”
เมื่อข้าวไทยทยอยเปลี่ยนรูปแบบการขาย
เริ่มต้นด้วยการชวนทุกคนมอง “เศรษฐกิจข้าว” ใหม่ทั้งระบบ ภายใต้แนวคิด New Rice Economy เธอชี้ให้เห็นภาพเปรียบเทียบแบบตรงไปตรงมาว่า ผลผลิตต่อไร่ของไทยอยู่ราว 600–700 กิโลกรัม ขณะที่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามทำได้ 1,200–1,500 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งที่ต้นทุนต่อไร่ไม่ได้หนีกันมาก แต่เรากลับยังขายข้าวส่วนใหญ่ในฐานะ “ข้าวขาวทั่วไป” ให้ตลาดโลกกดราคาเหมือนเดิม
ยิ่งมองลึกลงไป ช่องว่างยิ่งชัดเจนขึ้น ประเทศที่มีสายพันธุ์ข้าวมากกว่า 5,000 สายพันธุ์อย่างไทย กลับเพาะปลูกและทำการตลาดจริงเพียงไม่กี่ชนิด ไม่ได้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่อยากเลือกกินข้าวตาม “หน้าที่” และ “ตัวตน” ของตัวเอง ทั้งข้าวนุ่ม ข้าวแข็ง ข้าวสำหรับโจ๊ก ข้าวสำหรับข้าวผัด ข้าวเพื่อสุขภาพ หรือข้าวสำหรับผู้สูงวัยและผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
จากโจทย์ทั้งหมด ศุภจีจึงชวนขยับจากยุคที่ “ปลูกในสิ่งที่เราอยากปลูก” ไปสู่ยุคที่ “ปลูกในสิ่งที่ตลาดอยากกิน และยอมจ่ายแพงขึ้นจริง” นี่คือหัวใจของ New Rice Economy ที่กำลังถูกทดสอบในโลกจริง และหนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือ การสร้างหมวดสินค้าใหม่ชื่อว่า “ข้าวประณีต”
นพ จาก Rice Hub เล่าถึงจุดตั้งต้นของคำนี้ว่า ทีมของเขาไม่ได้เริ่มจากห้องประชุม แต่เริ่มจาก “การชิมข้าว” จากเกษตรกรทั่วประเทศเป็นร้อยสายพันธุ์ แล้วค่อยๆ ทำ flavor profile ของข้าวไทยเหมือนที่วงการกาแฟพิเศษหรือไวน์ทำกันมายาวนาน
ยิ่งชิม ยิ่งพบว่า ข้าวจากแต่ละพื้นที่ แต่ละเกษตรกร แต่ละกระบวนการ มีตัวตนชัดเจนของตัวเอง บางสายพันธุ์ “อร่อยจนลืมแกง” บางสายพันธุ์หุงแล้วหอมจนกินเปล่าได้อย่างมีความสุข บางสายพันธุ์เป็นข้าวสุขภาพที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เหมาะกับผู้สูงวัยหรือคนที่ต้องดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง
เมื่อทีม Rice Hub เก็บรสชาติ เรื่องเล่า และคุณภาพของข้าวเหล่านี้ครบในระดับหนึ่ง จึงตัดสินใจตั้งชื่อหมวดสินค้าใหม่ว่า “ข้าวประณีต” เพราะคำนี้สะท้อนทั้งความประณีตของสายพันธุ์ ดิน น้ำ ความตั้งใจของเกษตรกร ไปจนถึงการสี การเก็บ และวิธีเล่าเรื่องของคนขาย
เป้าหมายไม่ใช่แค่ให้คนไทยเข้าใจคำนี้ แต่คือการผลักคำว่า “ข้าวประณีต” ออกไปสู่เวทีโลก ให้ทุกคนรู้สึกกับมันแบบเดียวกับที่รู้สึกกับคำว่า Wagyu เมื่อพูดถึงเนื้อญี่ปุ่น
ตัวอย่างจริงที่ถูกหยิบขึ้นมาเล่าในวงสื่อชัดเจนจนทุกคนเงียบฟังคือ ข้าวเหนียวดำ “คะนึงนิตย์” ข้าวเหนียวดำเม็ดยาวที่ให้รสชาติคล้ายลูกผสมระหว่างข้าวเหนียวดำกับหอมมะลิ กินกับหมูปิ้งตอนเช้าแล้วได้ทั้งความหอม ความหนึบ และเท็กซ์เจอร์กรุบจากการเป็นข้าวกล้อง
จากข้าวเหนียวถุงที่เคยขายราวกิโลกรัมละ 25 บาท วันนี้ข้าวคะนึงนิตย์ในฐานะ “ข้าวประณีต” ขายปลีกได้ถึง 250 บาทต่อกิโลกรัมโดยมีคนยอมจ่าย นี่คือหลักฐานเชิงรสชาติว่าข้าวไทยไม่จำเป็นต้องขายทีละตันในฐานะสินค้าโภคภัณฑ์อีกต่อไป หากเราเล่าถึงตัวตน คาแรกเตอร์ และความใส่ใจเบื้องหลังมันให้ชัดเจนพอ
ในภาพใหญ่ Thailand Rice & Food Fest จึงไม่ได้เป็นแค่งานอีเวนต์ แต่กำลังถูกออกแบบให้เป็น “เมืองหลวงชั่วคราวของข้าวไทย” ที่รวบทั้งชาวนา นักวิจัย ข้าราชการ เชฟ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคมาพบกัน เพื่อทดลองโมเดล New Rice Economy ในพื้นที่จริง
Test Lab ข้าว & ข้าวกับแกง
เมื่อข้าวเป็นพระเอกจานอาหาร
หาก New Rice Economy เป็นภาพใหญ่ในเชิงนโยบาย Taste Lab / Test Lab ข้าว ในงานปีนี้ก็คือพื้นที่ที่ทำให้คนธรรมดา “ชิมนโยบาย” ได้จริง
ช้างน้อยเล่าว่า ภารกิจของ Taste Lab คือชวนคนไทยกลับมาฟัง “ภาษาของข้าว” อีกครั้ง เพราะในชีวิตประจำวัน เรามักเห็นข้าวเพียงไม่กี่ชนิดในซูเปอร์มาร์เก็ต ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวกล้องพื้นๆ แล้วก็เดินผ่านชั้นวางไปโดยไม่เคยถามว่า ข้าวแต่ละถุงแตกต่างกันอย่างไร นอกจากราคาต่อกิโลกรัม
ใน Taste Lab ผู้เข้าร่วมจะได้ลองชิมข้าวหลายสายพันธุ์ทั้งในแบบ “ข้าวเปล่า” และในแบบ “จับคู่กับอาหาร” ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดอยู่ใน “ข้าวกับแกง Lab” ซึ่งทีม SD Perspectives มีโอกาสได้เข้าไปนั่งร่วมโต๊ะ

ข้าวร้อยเอ็ดจะถูกวางเป็นตัวตั้ง แล้วเทียบกับข้าวจากสุรินทร์ ยโสธร อุบล หรือพันธุ์หายากต่าง ๆ ให้คุณเห็นชัด ๆ ว่า terroir ของไทยมีชีวิตเหมือนไวน์หรือกาแฟ single origin
terroir (แตร์-รัวร์)เป็นคำภาษาฝรั่งเศส ใช้ในวงการอาหาร ไวน์ กาแฟ และข้าว หมายถึง:“ลักษณะเฉพาะของพื้นที่ที่ทำให้วัตถุดิบมีรสชาติและกลิ่นไม่เหมือนใคร”
single origin(ซิงเกิล ออริจิ้น)คือคำที่ใช้ในวงการกาแฟ ชา ไวน์ และตอนนี้เริ่มใช้กับ “ข้าวไทย” ด้วย หมายถึง: วัตถุดิบที่มาจากแหล่งเดียวกัน 100% ไม่ผสมจากที่อื่น
บนโต๊ะทดลองมีข้าวสี่แบบและแกงสี่ชนิดถูกจัดวางให้ทดลองสลับจับคู่กันอย่างอิสระ เพียงไม่กี่คำแรก ทุกคนในห้องก็เริ่มเห็นว่าบทบาทของข้าวในจานอาหารไทยไม่ใช่ “ของรอง” อย่างที่เคยคิด
ข้าวมันทำให้แกงไตปลาที่จัดจ้านกลายเป็นรสกลมกล่อมขึ้น กินง่ายขึ้นโดยไม่เสียคาแรกเตอร์ของความเผ็ดและความเค็มแบบใต้ ข้าวกั๊นจิ๊นจากภาคเหนือช่วยเพิ่มความนัวและ aftertaste ให้แทบทุกแกง ข้าวจี่มีกลิ่นควันไฟในตัว ช่วยตัดกลิ่นแรงของแกงใต้ได้อย่างน่าสนใจ ส่วนข้าวหมกที่ร่วนและหอมเครื่องเทศ ดูจะเหมาะกับแกงที่ไม่ต้องการเท็กซ์เจอร์แฉะและไม่อยากให้ข้าวดูดน้ำแกงมากเกินไป
เมื่อการทดลองดำเนินไป ผู้เข้าร่วมเริ่มพูดถึงข้าวในภาษาที่ไม่ค่อยได้ยินในวงสนทนาทั่วไป มีทั้งคำว่า aftertaste ความหอมที่ต่างกันระหว่างคำแรกและคำสุดท้าย ความรู้สึกเวลาข้าวเปล่ากับข้าวที่กินคู่กับแกงเดียวกันให้ประสบการณ์ต่างกัน
การ “ชิมข้าวแบบแยกหน้าที่” เช่นนี้ ทำให้คำว่า “ข้าวประณีต” หลุดออกจากกรอบคำสวยหรูในเอกสารนโยบาย แล้วกลายเป็นประสบการณ์จริงในปากผู้ร่วมงาน ว่าข้าวบางพันธุ์เหมาะเป็นข้าวต้ม บางพันธุ์เหมาะเป็นข้าวผัด บางพันธุ์คู่กับอาหารน้ำ บางพันธุ์คู่กับอาหารแห้ง และบางพันธุ์อาจเหมาะจะถูกเสิร์ฟเพียงลำพังในจาน
จากนาสู่สาโท
SATO Station ที่เล่าเรื่องข้าวผ่านการหมัก
เรื่องราวของข้าวในงานนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่บนจาน แต่ออกเดินทางต่อไปในแก้วที่ “SATO Station” หรือโซน ศาสตร์โทพาวิลเลียน ซึ่งรวมผู้ผลิตสาโทและสุราชุมชนจากหลายพื้นที่
ช้างน้อยอธิบายว่า เมื่อกฎหมายสุราชุมชนของไทยเริ่มผ่อนปรน ข้าวไทยก็ได้โอกาสใหม่ในฐานะ “วัตถุดิบหมัก” ไม่ต่างจากบทบาทของข้าวญี่ปุ่นในโลกของสาเก ข้าวเกาหลีในโลกของโซจู หรือธัญพืชสายพันธุ์ต่างๆ ในเหล้าจีน
SATO Station จึงถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ทดลองอีกแบบหนึ่ง ที่ใช้ “รสชาติและดีกรี” เป็นภาษาพูดกับผู้เข้าร่วมงาน ข้าวประณีตที่เรารู้จักในรูปแบบเมล็ดข้าวและจานอาหาร ถูกเล่าใหม่ในรูปของเครื่องดื่มหมักที่มีกลิ่น รส และบุคลิกเฉพาะตัว
ความสำคัญไม่ใช่แค่การสร้างผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ตัวใหม่ให้ตลาด แต่อยู่ที่การเพิ่มมูลค่าให้ข้าว ผ่านการหมักบ่มที่ต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมเรื่องสาโทและสุราชุมชน เชื่อมโยงเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ยุคใหม่ และเปิดทางให้ชุมชนเจ้าของสูตรมีพื้นที่เล่าเรื่องของตัวเองในงานระดับประเทศ

จาก “นา” ที่เป็นภาพเริ่มต้นของเมล็ดข้าว ไปสู่ “สาโท” ในแก้วของผู้บริโภค เมล็ดข้าวเมล็ดเดียวจึงไม่ได้จบแค่การเป็นอาหารหลักของจานข้าวแกงเท่านั้น แต่สามารถกลายเป็นหัวใจของผลิตภัณฑ์เชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจตัวใหม่ได้ด้วย
Thailand Coffee Fest ‘Year End’ และ Thailand Rice Fest: เมื่อสองเทศกาลช่วยกันเขียนอนาคตเศรษฐกิจไทย
เมื่อบทสนทนากลับมาที่ “เทศกาล” ช้างน้อยก็เล่าว่า แรงบันดาลใจสำคัญของ Thailand Rice & Food Fest มาจากสิ่งที่ Thailand Coffee Fest ทำสำเร็จไปก่อนแล้ว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา งานกาแฟที่เริ่มต้นจากการเป็นงานรวมตัวของคนรัก Specialty Coffee ค่อยๆ เติบโตจนกลายเป็นเทศกาลประจำปีที่คนเดินงานแน่นทุกฮอลล์ ปีที่แล้วมีคนไทยคว้าแชมป์โลกหนึ่งรายการ และรองแชมป์โลกอีกสามรายการ บูธ Champion Village ที่รวมบาริสต้าแชมป์จากหลายประเทศก็กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
แนวคิด “Coffee by your size” ก็ช่วยคลี่ Specialty Coffee ให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้มากขึ้น ไม่ใช่โลกปิดของคนเนิร์ดกาแฟอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน โซนอย่าง Southment Supermarket ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเฉพาะจากหาดใหญ่และสงขลา ได้มีพื้นที่ขายของและเล่าเรื่อง ก็พิสูจน์ว่าเทศกาลรูปแบบนี้สามารถช่วยเยียวยาเศรษฐกิจท้องถิ่นได้จริง
Thailand Coffee Fest แสดงให้เห็นแล้วว่า “การออกแบบเทศกาลให้ดี” สามารถดันทั้งอุตสาหกรรม คนทำของท้องถิ่น และภาพลักษณ์ประเทศให้เติบโตไปพร้อมกันได้
วันนี้ Thailand Rice & Food Fest กำลังเดินอยู่บนเส้นทางคล้ายกัน เพียงแต่เปลี่ยนจาก “เมล็ดกาแฟ” มาเป็น “เมล็ดข้าว”
จาก ข้าวประณีต ในคำพูดของรัฐมนตรี
สู่ ข้าวใน Taste Lab และข้าวกับแกง Lab ที่ให้คนไทยชิมนโยบายผ่านปลายลิ้น
จาก ข้าวในจานอาหาร สู่ ข้าวในแก้วสาโทที่ SATO Station
หาก Thailand Coffee Fest พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กาแฟไทยไปได้ไกลแค่ไหนบนเวทีโลก
Thailand Rice & Food Fest ก็น่าจะเป็น “บทพิสูจน์ถัดไป” ว่า
ข้าวไทยไม่ใช่แค่เครื่องเคียงอีกต่อไป
แต่มันกำลังก้าวขึ้นมาเป็น “พระเอกของเรื่อง”
ในเศรษฐกิจอาหารยุคใหม่ของประเทศไทย
เมื่อ ข้าว–อาหาร–กาแฟไทย เริ่มเดินไปในทิศทางเดียวกัน เศรษฐกิจบทใหม่ของไทยก็น่าจะเริ่มเขียนได้จากเมล็ดเล็กๆ ที่เราคุ้นเคยมาทั้งชีวิตนี่เอง
4F Forum Kick-Off by SD Perspectives : เปิดตัว FINE FOOD FUTURE FORUM 2025
ข่าวเกี่ยวข้อง
ศุภจี ดันข้าวไทยต้องเปลี่ยนเกม “ยืนใหม่ในยุคโลกร้อน ด้วยคุณค่าของวัตถุดิบประณีต”










