CIRCULAR ECONOMY

Mercedes-Benz ปฏิวัติรถยนต์สู่ “เหมืองในเมือง” สร้างวัสดุทดแทนชิ้นส่วนรถยนต์

24 พฤษภาคม 2567…ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากมาย หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจคือแนวคิด Circular Economy หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดขยะให้มากที่สุด โดยล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ แบรนด์รถยนต์ระดับโลก ได้ประกาศเดินหน้าแผน Circular Economy ผ่านโปรเจกต์ Urban Mining หรือ เหมืองในเมือง สู่การสร้างวัสดุทดแทนชิ้นส่วนรถยนต์ในขั้นตอนการผลิต

Urban Mining คืออะไร?

Urban Mining หรือเหมืองในเมือง คือ การนำทรัพยากรจากผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว เช่น รถยนต์เก่า มาผ่านกระบวนการรีไซเคิลและแปรรูป เพื่อนำไปใช้เป็นวัสดุทดแทนในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ใหม่ ซึ่งเป็นวิธีที่คุ้มค่าต่อการลงทุนและสามารถอนุรักษ์ทรัพยากรที่มีค่า ผ่านระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน

โปรเจกต์ Urban Mining ของ Mercedes-Benz

 

เศรษฐกิจหมุนเวียนที่มาจาก Urban Mining

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เซ็นต์ MoU กับ TSR Recycling GmbH & Co. KG ผู้เชี่ยวชาญด้านการรีไซเคิลโลหะ เพื่อพัฒนาวิธีการรีไซเคิลอลูมิเนียมจากรถยนต์เก่า โดยมุ่งเน้นไปที่วัสดุที่มาจากเหล็ก อลูมิเนียม โพลิเมอร์ ทองแดง และแก้ว นอกจากนี้ ในบันทึกข้อตกลงยังเพิ่มเติมไปถึงการวิเคราะห์ความต้องการและแหล่งที่มาของวัสดุ รวมถึงการประเมินผลเชิงพาณิชย์ โดยความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมองค์กร เพื่อก้าวสู่เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

“ด้วยวิสัยทัศน์ ‘Design for Circularity’ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เราได้คำนึงถึงความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียนตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการผลิตรถยนต์ โดยมีเป้าหมายที่จะลดการใช้วัสดุจากแหล่งธรรมชาติ (Primary Resources) ด้วยการเก็บรักษาวัสดุตั้งต้นต่างๆ ไว้ในขั้นตอนการผลิตให้ได้มากที่สุด 
ซึ่งเราคาดว่าจะสามารถลดการใช้วัสดุจากแหล่งธรรมชาติเหล่านี้ ในการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ลงให้ได้ถึง 40% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิม ในการร่วมมือพันธมิตรเรามีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสัดส่วนของวัสดุทดแทน (Secondary Raw Materials) ที่มาจากการรีไซเคิลชิ้นส่วนของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ เรายังเล็งเห็นถึงศักยภาพในการทำ  Urban Mining ซึ่งเป็นวิธีที่คุ้มค่าต่อการลงทุนและสามารถอนุรักษ์ทรัพยากรที่มีค่า ผ่านระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน” Markus Schäfer คณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าว

ความหรูหราแห่งอนาคต: Mercedes-Benz อนุรักษ์ทรัพยากรและใช้วัสดุที่ยั่งยืน [EQC 400 4MATIC | WLTP: Stromverbrauch kombiniert: 25‒21,3 kWh/100 กม. | CO₂-การปล่อยก๊าซเรือนกระจก: 0 กรัม/กม. | mb4.me/DAT-Leitfaden-ไฟฟ้า]

เป้าหมายของ Mercedes-Benz

ความร่วมมือครั้ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ เน้นไปที่การพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเข้าถึงชิ้นส่วนวัสดุทดแทนที่จะถูกส่งออกไปยังทุกภาคส่วน รวมถึงประเทศอื่น ๆ ได้อย่างเต็มกำลัง โดยมีจุดประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่เรียกว่า Downcycling ซึ่งเป็นกระบวนการที่วัสดุจะถูกลดมูลค่าลง แต่ยังช่วยยืดอายุให้วัสดุเหล่านี้สามารถนำไปสร้างเป็นสิ่งใหม่ได้ สำหรับหนึ่งตัวอย่างความร่วมมือระหว่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ บริษัท TSR และซัพพลายเออร์เจ้าใหญ่ คือการรีไซเคิลอลูมิเนียมให้กลายเป็นวัสดุชนิดใหม่ ซึ่งวัสดุชนิดใหม่นี้จะกลายเป็นนวัตกรรมแรกของโลกที่ประกอบด้วยอลูมิเนียมที่ถูกรีไซเคิลหลังการใช้งาน (Post-Consumer Recycled Aluminium) สูงถึง 86% และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศได้ถึง 73% โดยผลทดสอบการหลอมขึ้นรูปชิ้นส่วนต้นแบบในครั้งแรกนับว่าประสบความสำเร็จและกำลังอยู่ระหว่างการประเมินผลต่อไป โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาดหวังที่จะนำเข้าสู่กระบวนการผลิตรถยนต์ให้ได้โดยเร็วที่สุด

 

เป้าหมาย

เมอร์เซเดส-เบนซ์ มุ่งมั่นรับผิดชอบการดำเนินธุรกิจด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต โครงการริเริ่มดังกล่าวนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุวิสัยทัศน์ “Ambition 2039” ซึ่งมีเป้าหมายในการทำให้กระบวนการผลิตรถยนต์ใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2039

 

You Might Also Like