กันยายน 28,2025…นี่คืออีก 1 ตัวอย่างจากการศึกษาภายใต้โครงการ Data Playground ของทรู ผ่านข้อมูลการเดินทาง (Mobility Data) ของนักเดินทางระหว่างปี 2566 – 2567 คิดเป็นจำนวนกว่า 500 ล้านทริป
Routes to Roots – Lanna Culture Route ที่พาเราออกเดินทางไปสำรวจเส้นทางแห่งล้านนา ผ่านสามจังหวัดที่ร้อยเรียงกันอย่างแนบแน่น เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง นี่คือหนึ่งในคลัสเตอร์ท่องเที่ยวสำคัญที่ Mobility Data สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมการเดินทาง นักท่องเที่ยวมักใช้เชียงใหม่เป็นจุดหมายหลัก แต่กลับเพียงขับรถผ่านลำพูนโดยไม่แวะพัก ซึ่งแปลว่าศักยภาพของพื้นที่ยังไม่ถูกปลดล็อกเต็มที่
เส้นทางล้านนาไม่ได้เป็นเพียง “ทริปท่องเที่ยว” แต่คือบทเรียนเชิงลึกว่าการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์สามารถสร้าง Area Branding ได้จริงอย่างไร การเรียนรู้สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และอาหารท้องถิ่น ไม่เพียงเติมเต็มประสบการณ์ของนักเดินทาง แต่ยังช่วยยืดระยะเวลาการพำนัก กระจายรายได้ และเชื่อมโยงเศรษฐกิจของทั้งสามจังหวัดเข้าด้วยกัน
อาจารย์ธวัชชัย ทำทอง สาขาวิชานวัตกรรมการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง กล่าวถึงล้านนาคือดินแดนที่บ่มเพาะรากฐานทางวัฒนธรรมและอารยธรรมมานับพันปี ตั้งแต่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจทางน้ำ แหล่งการค้าของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ จนถึงพื้นที่ที่ผสานความรุ่มรวยทางศิลปะ ภูมิปัญญา และวิถีชีวิตที่เปี่ยมมนต์เสน่ห์
ทุกองค์ประกอบเหล่านี้สะท้อนพลังของ Cultural Cluster ที่หากได้รับการออกแบบและสื่อสารอย่างมียุทธศาสตร์ จะสามารถเปลี่ยน “เมืองผ่าน” ให้กลายเป็น “เมืองพำนัก” และสร้างแรงดึงดูดใหม่ในเวทีการท่องเที่ยวโลกได้
ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย รองผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม และผู้ช่วยคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึง Routes to Roots – Lanna Culture Route
การท่องเที่ยวไทย บริบทและการเปลี่ยนแปลง ตลอด 10–15 ปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวโลกเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ปัจจัยอย่างดิจิทัลแพลตฟอร์ม โซเชียลมีเดีย และสายการบินต้นทุนต่ำ ได้สร้างโอกาสให้ผู้คนเดินทางได้ง่ายขึ้น ขณะที่รายได้ประชากรที่สูงขึ้นก็ทำให้การท่องเที่ยวกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตมากกว่าเดิม สำหรับประเทศไทย ก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 ถือเป็นยุคทองของการท่องเที่ยว เราต้อนรับนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคนต่อปี และติดอันดับ 4 ของโลกด้านรายได้ แต่เมื่อเข้าสู่ยุคหลังโควิด ภาพผู้นำของไทยกลับเริ่มถูกท้าทาย
ความท้าทายด้านการแข่งขัน แม้ไทยจะเป็นจุดหมายยอดนิยม แต่ประเทศคู่แข่งกลับเร่งสปีดฟื้นตัวและเปิดตัวซัพพลายใหม่ ๆ ญี่ปุ่น เวียดนาม และเกาหลีใต้ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย มาตรการฟรีวีซ่า และการพัฒนาเมืองที่ทันสมัยกว่า ส่งผลให้ไทยค่อย ๆ สูญเสียความเป็นผู้นำในเวทีการท่องเที่ยวโลก การแข่งขันไม่ได้อยู่ที่ปริมาณผู้มาเยือนเพียงอย่างเดียว แต่คือคุณภาพของประสบการณ์และความสดใหม่ของจุดหมาย
“เมืองรองแนวทางและความสำคัญ รัฐบาลไทยพยายามแก้เกมด้วยการสร้าง New Supply ทั้งเมกะอีเวนต์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการพัฒนาเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้ที่ยังคงกระจุกอยู่เพียงไม่กี่จังหวัดหลัก เมืองรองจึงเป็นมากกว่า “ตัวเลือกสำรอง” แต่คือหัวใจสำคัญของการสร้างสมดุลในระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทย อย่างไรก็ตาม เมืองรองจำนวนมากยังไม่ได้ถูกพัฒนาเต็มศักยภาพ กิจกรรมไม่หลากหลาย การเดินทางไม่สะดวก และยังไม่จูงใจให้นักลงทุนเข้ามามีบทบาท”
อุปสรรคและแนวทางแก้ไข ความท้าทายของเมืองรองไม่ได้อยู่แค่ “ไม่มีแหล่งใหม่” แต่เป็นเพราะนักท่องเที่ยวยังไม่เห็นคุณค่าที่จะใช้เวลาเพิ่ม การเดินทางที่ไม่สะดวก และขาดการออกแบบกิจกรรมให้ดึงดูดต่อเนื่อง ทำให้การท่องเที่ยวมักสั้นเพียง 2–3 วันเท่านั้น
แนวคิด “การท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์” จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นคำตอบ การรวมกลุ่มจังหวัดที่เชื่อมโยงกันทั้งทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมช่วยเพิ่มมิติของการเดินทาง ขยายระยะพำนัก และสร้างพื้นที่แบรนดิ้งที่แข็งแรงกว่าการโปรโมตจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง
“Mobility Data เครื่องมือใหม่ การทำความเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในระดับลึกคือกุญแจสู่การพัฒนา และนี่คือจุดที่ Mobility Data จากโทรศัพท์มือถือเข้ามาแทนที่ข้อมูลดั้งเดิมที่ล่าช้าและไม่ละเอียด ข้อมูลใหม่นี้สามารถแสดงให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวเดินทางจากที่ไหน แวะจุดใด ใช้เวลาเท่าไร และเลือกพักค้างในพื้นที่ใด ข้อมูลจากสองปีที่ผ่านมาเผยว่า นักท่องเที่ยวไทยเดินทางกว่า 502.5 ล้านทริป และต่างชาติกว่า 32 ล้านทริป ทำให้สามารถระบุคลัสเตอร์การท่องเที่ยวของไทยได้ถึง 25 กลุ่ม โดย 21 คลัสเตอร์มีเมืองรองรวมอยู่ด้วย”
ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ กล่าวต่อเนื่อง การวิเคราะห์คลัสเตอร์การท่องเที่ยว การจัดทำคลัสเตอร์เปิดมุมมองใหม่ เช่น เชียงใหม่–ลำพูน–ลำปาง ที่แม้จะมีศักยภาพสูงแต่กลับพบว่านักท่องเที่ยวมักเพียงขับรถผ่านลำพูนโดยไม่หยุด ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการลงทุนเพื่อดึงดูดการใช้เวลา หรือขณะที่บุรีรัมย์ถูกมองว่าโดดเด่นจากปราสาทหินและสนามแข่งรถ ข้อมูลลักษณะนี้ไม่ได้แค่บอกว่าพื้นที่มีอะไร แต่ยังช่วยกำหนดว่าควรพัฒนาอะไรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ทั้งคลัสเตอร์

“การสร้างแบรนด์และการตลาด Mobility Data ยังเปิดโอกาสให้สร้าง Area Branding อย่างตรงจุด เมื่อนักวางแผนรู้ว่าใครคือนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักในแต่ละพื้นที่ การทำตลาดก็ไม่ใช่การสาดงบแบบหว่าน แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน กิจกรรม และการสื่อสารที่สอดรับกับความต้องการเฉพาะของนักท่องเที่ยวในแต่ละคลัสเตอร์”
การขยายโอกาสและความยั่งยืน นอกเหนือจากการสร้างพื้นที่ใหม่ ข้อมูลยังช่วยชี้ให้เห็นปัญหา Over-tourism ได้ละเอียดถึงระดับตารางกิโลเมตร ช่วยให้สามารถจัดการขยะ น้ำเสีย และระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างแม่นยำ ความยั่งยืนจึงไม่ใช่แค่คำพูด แต่กลายเป็นการบริหารจัดการจริงที่ตอบสนองทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น

ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ มีข้อเสนอแนะเพื่อการท่องเที่ยวไทย สุดท้าย การจะทำให้ “เมืองน่าเที่ยว” ของไทยเกิดขึ้นจริง จำเป็นต้องยึด 3 หลักคิดคือ
1.น่าสนใจ (Interesting) ด้วยการสร้างเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร,
2.น่าอยู่ (Livable) ผ่านโครงสร้างพื้นฐานและคุณภาพชีวิตที่ดี
3.น่าค้นหา (Discoverable) ด้วยสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาอีกครั้ง และทั้งหมดนี้คือการก้าวสู่การท่องเที่ยวที่มีหลักฐานรองรับและยั่งยืนอย่างแท้จริง
หากข้อมูล Mobility Data และแนวคิดการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ถูกนำไปใช้จริง ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ไทยกลับมาฟื้นความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังสร้างระบบท่องเที่ยวที่สมดุล สร้างรายได้กระจายสู่เมืองรอง แก้ปัญหา Over-tourism และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่นได้พร้อมกัน เมืองไทยจะไม่ใช่เพียงจุดหมายที่ “เคยรุ่งเรือง” แต่จะเป็นโมเดลการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนที่โลกจับตามอง
-ข้อมูลเกี่ยวเนื่อง