พฤศจิกายน 25,2025…บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำบทบาทผู้นำอุตสาหกรรม FMCG ไทยด้านความยั่งยืน ผ่านการงาน “Sustainovation: From Core to Care” นำเสนอการดำเนินธุรกิจที่คิดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างเป็นระบบกว่า 10 ปี เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 โดยยึดแนวคิด “ทำจริง ทำต่อเนื่อง และพิสูจน์ได้” เป็นหลักสำคัญ ทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติการ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของภาคอุตสาหกรรมที่คำนึงถึงทั้งผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบไปพร้อมกัน
ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าครอบคลุมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับสัตว์เลี้ยง รวม 9 แบรนด์ ประกอบด้วย ไฟน์ไลน์, ดีนี่, บีไนซ์, ทรอส, เอเวอร์เซ้นส์, วีไวต์, สมาร์ท, โทมิ และ เลิฟลี่เทล
กัสมา ธรฤทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาบรรจุภัณฑ์และพัฒนาองค์กรเพื่อความยั่งยืน บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“หัวใจของเราคือการทำให้ความยั่งยืนจับต้องได้จริงในทุกผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคใช้ในทุกวัน สิ่งที่เรามุ่งทำไม่ใช่เพียงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่คือการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้คนไปพร้อมกัน การดูแลโลกไม่ควรเป็นเรื่องยาก และไม่ควรมีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังในการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้”
นีโอประกาศความคืบหน้าด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม เช่น การปล่อยน้ำเสียจากโรงงานเป็นศูนย์ (Zero Water Discharge) ซึ่งมีการหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ใหม่ทั้งหมดภายในโรงงาน การลดการใช้ Virgin Plastic ลงแล้ว 22% เร็วกว่ากรอบเวลาที่ตั้งไว้ รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการผลิตแบบ Cold Process เพื่อ ลดการใช้พลังงานและลดคาร์บอนตั้งแต่ต้นทาง พร้อมทั้งตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% ภายในปี 2030 จากฐานปี 2022 ที่ 190,988 ตันคาร์บอนเทียบเท่า และเดินหน้าสู่ Net Zero ครอบคลุมทั้ง Scope 1–3 ภายในปี 2050 สอดคล้องเป้าหมายระดับประเทศ
ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นีโอมุ่งเน้นการออกแบบสูตรเพื่อความยั่งยืนอย่างจริงจัง ด้วยการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ 78% การเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบออร์แกนิก และการพัฒนานวัตกรรม “Quick Rinse” ที่ช่วยให้ผู้บริโภคลดการใช้น้ำขณะซักผ้าได้ถึงสามเท่า ตลอดจนใช้เทคโนโลยีห่อหุ้มกลิ่นชนิดย่อยสลายได้ (Biodegradable Encapsulation) เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดไมโครพลาสติกและผลกระทบต่อระบบนิเวศ โดยยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพการใช้งานที่ผู้บริโภคคาดหวังจากสินค้าอุปโภคในชีวิตประจำวัน
“นีโอยังพัฒนาบรรจุภัณฑ์ด้วยแนวคิด Design for Recycling เพื่อลดรอยเท้าพลาสติกอย่างยั่งยืน ทั้งการลดน้ำหนักขวด การผลิตขวดบีไนซ์ด้วยพลาสติกรีไซเคิล rHDPE 30% จากแหล่งในประเทศเพื่อลดการขนส่งและคาร์บอน และตั้งเป้าทำให้บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดรีไซเคิลได้ 100% ภายในปี 2030 รวมถึงยุติการใช้ PVC ภายในปี 2025 และอยู่ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีอัปไซเคิลสำหรับฟิล์มลามิเนต ซึ่งยังเป็นโจทย์สำคัญระดับโลกด้านบรรจุภัณฑ์”
กัสมา ขยายความต่อเนื่องถึง “คนทำงานในองค์กร” การสร้างความยั่งยืน ถูกบูรณาการสู่โครงสร้างองค์กร ผ่านเครือข่าย “Sustainability Champions” มากกว่า 40 คนจากทุกฝ่าย ที่ร่วมกันขับเคลื่อนและมอนิเตอร์ข้อมูลคาร์บอนในทุกส่วนงาน โดยมีการรับรองจาก ISO และ BSI ครบวงจร เพื่อรักษาความถูกต้อง โปร่งใส และตอบโจทย์มาตรฐานสากล
ขณะที่การลงทุนขยายโรงงานด้วยงบกว่า 2,460 ล้านบาท นำระบบ Automation เช่น AS/RS และรถฟอร์คลิฟต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้ รวมถึงการรับรอง Green Factory Level 4 คืออีกก้าวสำคัญของการยกระดับการผลิตสู่โรงงานคาร์บอนต่ำในอนาคต
“ความยั่งยืนสำหรับนีโอไม่ได้หยุดอยู่ที่โรงงาน แต่ถูกขยายสู่ชุมชนรอบข้างกว่า 300 ครัวเรือน ผ่านศูนย์การเรียนรู้ Neo Care Sustainability Learning Center บนพื้นที่ 3 ไร่ ซึ่งสร้างด้วยเทคโนโลยี 3D Printing ลดคาร์บอนฝังตัวและขยะจากการก่อสร้างได้กว่า 80% พร้อมพัฒนาแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตร โคกหนองนา สนับสนุนการอัปไซเคิลในชุมชน และร่วมมือกับปราชญ์ท้องถิ่น Young Smart Farmer เพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนระดับฐานรากอย่างยั่งยืน”
สำหรับเป้าหมายระยะยาว กัสมา อธิบายถึงนีโอมุ่งหมายเดินหน้าด้วย “ข้อมูลความยั่งยืน” เป็นฐานกำกับการตัดสินใจทางธุรกิจ ต่อยอดนวัตกรรมเพื่อความเป็นผู้นำอุตสาหกรรม FMCG ไทยบนเวทีสากล และพร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของประเทศ ด้วยความเชื่อว่าธุรกิจที่เติบโตได้อย่างมั่นคง คือธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับสังคมและโลกใบนี้อย่างแท้จริง
นีโอนับเป็นอีก 1 กรณีศึกษาของธุรกิจไทย ที่ใช้แนวคิด ESG ให้เป็น Roadmap ที่ทำได้จริง ยกระดับอุตสาหกรรม FMCG ไทยลดคาร์บอนฟุตพรินท์ทั่ว Value Chain เชื่อม “คุณภาพชีวิตที่ดี” เข้ากับ “ความรับผิดชอบต่อโลก” สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ Net Zero Economy
ท้ายที่สุดอนาคตของอุตสาหกรรม FMCG ไม่ใช่แค่ราคาหรือการตลาด แต่คือ “นวัตกรรมที่ไม่ทำร้ายอนาคตของผู้บริโภคเอง”











