พฤศจิกายน 21,2025…ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ และจันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน เอสซีจี แสดงมุมมองประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคมาตรฐานความยั่งยืนใหม่ ที่โครงสร้างเศรษฐกิจจะ “ประเมินธุรกิจ” ด้วย “ข้อมูลคาร์บอน” ไม่ใช่ “งบการเงิน” เพียงอย่างเดียวต่อไป
จากเวที เอสซีจี เปิดเผยข้อมูลไตรมาส 3 ปี 2568 ธรรมศักดิ์ อธิบายถึงแนวนโยบาย Thailand Taxonomy เฟส 2ที่กำลังกระจายไปสู่หลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ ภาคการก่อสร้าง
“สินค้าของเอสซีจีจะกลายเป็น Scope 3 ของลูกค้า ซึ่งหมายความว่า ลูกค้าต้องเลือกวัสดุก่อสร้างที่มีคาร์บอนต่ำเพื่อตอบโจทย์ Thailand Taxonomy เฟส 2 ด้วย และเอสซีจี เองต้องสร้างทางเลือกที่เป็น Green Product ให้พร้อม ทั้งปูน Low Carbon รุ่น Gen 1, Gen 2 และกำลังออก Gen 3 รวมถึงสินค้าจากวัสดุรีไซเคิลจำนวนมาก ที่ถูกพัฒนาเพื่อลดต้นทุนและทำให้แข่งขันได้ในตลาดจริงด้วยนวัตกรรมที่ใช้ถูกที่ถูกทาง”
ธรรมศักดิ์เล่าต่อเนื่องถึงพอร์ตทั้ง “Smart Value – HVA – Green Product” รองรับผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยกลุ่มสินค้าและบริการ Smart Value คุณภาพดี–ราคาคุ้มค่า เช่น ปูนงานโครงสร้างและปูนก่อฉาบ “ดูร่าวัน” กระเบื้องหลังคาเซรามิก SCG รุ่น Celica SRA พื้นและประตู UNIX งานเหล็ก TOPSTEEL แพ็กเกจมุงหลังคา SCG Saver Roof Package และบริการ Home Improvement จากคิวช่าง

ขณะเดียวกันเร่งเพิ่มกำลังผลิตสินค้ากรีนและสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำรุ่นใหม่ Gen 3 ที่ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 38% พร้อมแผนขยายกำลังการผลิตที่สระบุรี ภายในปี 2570
โซลูชันโครงสร้างอย่าง CPAC Extra Base Layer สะพานคอนกรีตสมรรถนะสูง UHPC และ 3D Printing Mortar ที่เริ่มบุกตลาดญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย และมาเลเซีย รวมถึงการยกระดับบริการมุงหลังคาด้วย Drone AI ตรวจรอยรั่วแบบ 3 มิติ ผลิตภัณฑ์อยู่สบายอย่าง SCG Comfort Tile ที่ช่วยลดอุณหภูมิพื้น 3–7°C สุขภัณฑ์ไร้ถังประหยัดน้ำ DUACT และรุ่นเคลือบจากเปลือกไข่–หอย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนเม็ดพลาสติกเทคโนโลยี SMX ที่ใช้วัสดุน้อยลงแต่ยังแข็งแรง และนวัตกรรมพลาสติกรีไซเคิลทั้งเชิงกลและเชิงเคมีสำหรับบรรจุภัณฑ์ Food Grade ที่ได้รับรองมาตรฐาน ISCC PLUS ครอบคลุมทั้งซัพพลายเชน
“ลูกค้าต้องมองไม่ใช่แค่ราคา แต่มองว่าใช้สินค้านี้แล้วปล่อยคาร์บอนเท่าไร” ธรรมศักดิ์กล่าวอย่างเชื่อมั่น
องค์กรที่ยกตัวอย่างในประเด็นนี้ วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เล่าถึง เป้าหมายลดคาร์บอน (Scope 3) SCGP มี Carbon Footprint Organization และ Product ลูกค้าต้องการให้ SCGP ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของตนเอง โดย SCGP จะพัฒนาสู่ Carbon Footprint Reduction และตั้งเป้าลด Scope 3 ของตนเอง 25% ภายในปี 2030 พร้อมฝึกอบรม Supplier ในฐานะ Scope 3 ของ SCGP
บนเวทีเดียวกัน จันทนิดา ได้อธิบายถึง มาตรฐานการรายงานความยั่งยืนของ ISSB (IFRS S1/S2) ว่าเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกธุรกิจ
“IFRS S1 วางเป็นกรอบใหญ่ สำหรับการรายงานข้อมูลความยั่งยืนทั้งหมด ส่วน IFRS S2 เจาะลึก ผลกระทบทางการเงินจาก Climate Risk ซึ่งองค์กรต้องเปิดเผยทั้งเชิงปริมาณ กรณีมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ และเชิงคุณภาพว่าบริษัทบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างไร”
จันทนิดา อธิบายต่อเนื่อง ข้อมูลเหล่านี้กำลังกลายเป็น Sustainability Data = New Currency
“วันนี้นักวิเคราะห์ นักลงทุน หรือธนาคารไม่ได้ดูแต่งบการเงินอย่างเดียวแล้ว เขาดูเรื่องความยั่งยืนด้วย ว่าธุรกิจจะไปรอดได้อย่างยั่งยืนไหม”
กล่าวอีกแบบคือ “ข้อมูลความยั่งยืน” กลายเป็น หน่วยวัดมูลค่าธุรกิจแบบใหม่ ที่ใช้ตัดสินว่าบริษัทจะอยู่รอดในบริบท ESG ได้หรือไม่ มากกว่าจะดูแค่กำไรขาดทุนในระยะสั้น
ธรรมศักดิ์เพิ่มเติมข้อมูลถึงในระดับมหภาค โลกกำลังขยับเข้าสู่ระบบ Cap & Trade อย่างจริงจัง เมื่อมีการกำหนดโควตาการปล่อยคาร์บอนในแต่ละอุตสาหกรรม หากธุรกิจสามารถลดการปล่อยได้ “ต่ำกว่าเส้น NDC Curve” ส่วนต่างนั้นจะถูกแปลงเป็น Carbon Credit ที่ “นำไปขายได้จริง” ภายใต้กรอบ Article 6 ของข้อตกลงปารีส ซึ่งเอสซีจีมองว่าใน 1–2 ปีข้างหน้า เราจะเห็นการซื้อขายในลักษณะนี้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

“ที่ผ่านมา ลดคาร์บอนแล้วได้ชื่อว่าเป็นคนดี แต่ต่อไปถ้าลดได้ต่ำกว่าเกณฑ์ จะนำไปขายได้ นี่แหละคือ Currency จริง ๆ”
นอกจากรายได้จากคาร์บอนเครดิต แนวคิด Green Finance ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจที่มีประสิทธิภาพการปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น เพราะธนาคารและนักลงทุนจะมองธุรกิจเหล่านี้เป็น “ความเสี่ยงต่ำในระยะยาว” มากกว่าอุตสาหกรรมที่ยังพึ่งพาคาร์บอนสูง
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้กระทบแต่บริษัทใหญ่เท่านั้น ผู้บริหารเอสซีจีแสดงความกังวลเป็นพิเศษต่อ SMEs ไทย ที่ต้องเผชิญทั้งเศรษฐกิจชะลอตัวและสินค้าต้นทุนต่ำจากจีน จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนให้ “ตามเกมความยั่งยืนให้ทัน” ผ่านโครงการอย่าง Net Zero Accelerator, การช่วยทำ Carbon Footprint และการเชื่อมต่อสู่แหล่งเงินทุนสีเขียว พร้อมทั้งทดลองในพื้นที่อย่าง “สระบุรี Sandbox” เพื่อพิสูจน์ว่า “ทำกรีนแล้วลดต้นทุนได้จริง” และสร้างแรงจูงใจให้ SMEs ลงทุนต่อได้ด้วยตนเอง
“เราไม่ได้ทำแค่เรื่อง Emission การทำงานกับ SMEs เป็นประเด็นทางสังคมภายใต้ ESG แต่ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปด้วยกัน นี่คือ Just Transition และ Inclusive ที่เรายึดมาตลอด ทำอย่างไรให้ SMEs สามารถเปลี่ยนผ่านไปกับเราได้ เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านนี้ ยั่งยืนจริง”
“โลกการเงิน” กำลังให้ค่ากับข้อมูลความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ การเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรมและครอบคลุมทุกภาคส่วนต่างหาก ที่จะเป็นตัวตัดสินว่า ประเทศไทยจะใช้โอกาสจาก New Currency ทั้ง Sustainability Data, Carbon Credit และ Green Finance เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังได้จริงหรือไม่









