กันยายน 23,2025…มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดเวที MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้ธีม “วิกฤตโลก ทางออกไทย” เวทีเสวนาแห่งปีที่ชวนทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกันหาทางออกด้านความยั่งยืนของประเทศไทยท่ามกลางความท้าทายระดับโลก
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เน้นย้ำถึงบทบาทของชุมชนเป็นหัวใจของการขับเคลื่อน พร้อมเผยว่าการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 4 เท่า สะท้อนพลังความร่วมมือที่สร้างผลลัพธ์จริง ไม่ใช่แค่แนวคิดบนกระดาษ
พร้อมเน้นย้ำ 7 ประเด็นสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการขับเคลื่อนต่อไป

1.BAU (Business As Usual) ไม่เพียงพอ – การทำงานต่อไปต้องลงลึกกว่าการทำงานแบบเดิม และไม่มองเพียงมิติสิ่งแวดล้อม แต่ต้องครอบคลุมถึงความผาสุกโดยรวม รวมถึงเรื่อง well being ซึ่งมีธรรมชาติอยู่ในนั้นด้วย
2.คว้าโอกาสจากปัญหา – เราพร้อมหรือยังที่จะลงทุนด้าน nature credits เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน
3.พิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริง – โครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนแสดงให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จเกิดขึ้นได้จริงเมื่อทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกัน
4.มองระยะยาวแบบข้ามรุ่น – ความยั่งยืนไม่ใช่เพียง 10–15 ปี แต่ต้องมองไปถึงรุ่นถัดไปที่อาจได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจและความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องเดียวกัน
5.กติกาใหม่เพื่อการพัฒนา – ต้องหากฎเกณฑ์ใหม่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง และป้องกันไม่ให้ธุรกิจเข้าไปครอบงำการพัฒนาที่ควรเป็นของชุมชน
6.ภาคการเกษตรคือหัวใจ – หากเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคการเกษตรจะสามารถสร้างและกระจายรายได้ในวงกว้าง เนื่องจาก supply chain ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในประเทศเรา
7.ต้นทุนของการทำและไม่ทำ – ทุกภาคส่วนต้องคำนึงถึง cost of action และ cost of inaction ว่าการลงมือหรือการเพิกเฉยจะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร
พร้อมกันนี้ ปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ดร. สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature-based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมเวที “วิกฤติโลก ทางออกไทย” แลกเปลี่ยนมุมมอง
โลกภายนอกกำลังเผชิญวิกฤตการณ์หลายด้านพร้อมกัน ทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สงคราม และนโยบายการค้า ที่กดดันเศรษฐกิจโลกและทำให้การลงทุนด้าน ESG ชะลอตัวลง ขณะที่ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แบบจำลองเศรษฐกิจที่วัดด้วย GDP ไม่ได้สะท้อนต้นทุนจริงของบริการระบบนิเวศ ทำให้เกิดต้นทุนแฝงมหาศาล ช่องว่างทางการเงินด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance Gap) ยังถ่างกว้าง หากต้องการจำกัดโลกร้อนไว้ที่ 1.5 องศา จะต้องการเงินลงทุนมหาศาลถึง 4.4–6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า และเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2050 สำหรับไทยยังปล่อยคาร์บอน 1.1% ของโลก แต่ลงทุนเพียง 0.4% ขณะที่ภาคการผลิตและเกษตรยังขาดเงินทุน แม้จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
เพื่อลดความเสียหายและสร้างโอกาสใหม่ ไทยจำเป็นต้องเร่งลงทุนและปรับตัว หากโลกร้อนขึ้นถึง 3.2 องศา จะสร้างความเสียหายมากถึง 18% ของ GDP โลก ขณะที่ไทยเองจะกระทบไม่น้อยกว่า 4.4% ของ GDP และ 4.5% ของการส่งออก เป้าหมาย Net Zero 2050 ต้องการเงินลงทุนกว่า 15 ล้านล้านบาทในช่วงปี 2023–2030 ซึ่งส่วนใหญ่ต้องมาจากภาคเอกชน ภาคการเงิน เช่น ธนาคารกสิกรไทย เริ่มขยับด้วยการตั้งเป้าลดคาร์บอนขององค์กรและพอร์ตสินเชื่อ ควบคู่กับการเพิ่มสินเชื่อสีเขียวจาก 2 แสนล้านเป็น 5 แสนล้านบาทภายในปี 2030 พร้อมเปิดตัวเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุน SME และผู้ประกอบการ เช่น K Climate 1.5 สำหรับวัดคาร์บอน, K Green Space สำหรับเชื่อมโยงโซลูชัน และ K Green Pass สำหรับซื้อขาย Renewable Energy Certificate (REC) ของผู้ติดตั้งโซลาร์รายเล็ก
พิธีส่งมอบคาร์บอนเครดิตจำนวน 43,123 tCO₂e จากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ” ซึ่งครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ คือหลักฐานเชิงประจักษ์ของการทำงานร่วมกันระหว่าง 14 หน่วยงานและเครือข่ายป่าชุมชน ภายใต้แนวคิด “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่ดำเนินงานต่อเนื่องมากว่า 5 ปี ฟื้นฟูพื้นที่กว่า 250,000 ไร่ ไม่เพียงแต่กักเก็บคาร์บอนและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ยังยกระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจท้องถิ่น
ท้ายที่สุด สิ่งที่ประเทศไทยต้องการไม่ใช่แค่แผนหรือตัวเลข แต่คือการสร้าง “วัฒนธรรมแห่งความเข้าใจ” หรือ Agree-Culture ที่เกษตรกรและทุกภาคส่วนจะได้ทั้งการอยู่รอดในวันนี้และโอกาสเติบโตในวันหน้า เทคโนโลยีและ AI ต้องเดินคู่กับ Authentic Intelligence หรือปัญญาที่แท้จริงจากมนุษย์ ที่เข้าใจคุณค่าของธรรมชาติและสังคม พร้อมสร้าง Common Agenda บนเวทีโลก เพื่อไม่ให้ไทยเป็นเพียงผู้ตาม แต่เป็นผู้กำหนดทิศทางร่วม
MFLF Sustainability Forum 2025 จึงไม่เพียงชี้ให้เห็นปัญหา แต่ยืนยันว่า “ความร่วมมือ + การลงทุน + การปรับตัว” คือสูตรเดียวที่จะเปลี่ยนวิกฤตโลกให้เป็นทางออกของไทยได้จริง